วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The 100 – A Ranking of The Most Influential Persons in History


The 100 – A Ranking of The Most Influential Persons in History
100 ลำดับบุคคลผู้มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์


ในอดีต เคยมีนักคิดและนักวิชาการหลายคนได้พยายามที่จะจัดลำดับว่าในบรรดามหาบุรุษหรือบุคคลสำคัญๆที่มีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงโลกนั้นมีใครบ้าง และใครควรจะจัดอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ และใครควรที่จะถูกจัดไว้เป็นอันดับแรกในจำนวนมหาบุรุษทั้งหมด
นิตยสารรายสัปดาห์ TIME ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 1974 หน้า 32-33 ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง Who Were History’s Great Leaders ? (ใครคือผู้ที่นำที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์?) ของนักจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อจูลส์ มาสเซอร์แมน (Jules Masserman) ซึ่งได้วางหลักเกณฑ์กว้างๆในการคัดเลือกไว้ว่าผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลได้นั้น จะต้องปฏิบัติหน้าที่ 3 ประการต่อไปนี้ให้สำเร็จ นั่นคือ

1) ให้ความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง
2) สร้างระเบียบทางสังคมที่ทำให้คนที่อยู่อาศัยในนั้นมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
3) สร้างระบบความเชื่ออย่างหนึ่งให้แก่สังคม

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จะสอบแล้วนะ


เทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน

1.ต้องเลิกเที่ยว  เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ

2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่


น้ำซ่า


เมื่อเอ่ยถึงเครื่องดื่มเพื่อช่วยคลายร้อนและเรียกความซาบซ่า หลายคนมักนึกถึงน้ำอัดลม แล้วรู้หรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้น้ำอัดลมซ่าและเกิดฟองฟูเมื่อถูกเปิดขวด 

กระตุ้นสมองให้จำดี


ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นผลการเรียนของลูกมีอันดับที่เพิ่มขึ้น ลองขยายชั่วโมงการเล่นของลูกออกไปอีกสักหน่อยดูดีไหมคะ เพราะนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เด็กที่มีร่างกายแข็งแรง จะ "ฉลาด และมีความจำดีกว่า" เด็กที่ขาดการออกกำลังกาย เหตุที่นักวิจัยกล่าวเช่นนั้นเพราะมีการค้นพบว่า สมองส่วนที่ควบคุมด้านความจำและการเรียนรู้ของเด็กที่มีร่างกายแข็งแรง จะมีขนาดใหญ่กว่าเด็กอ่อนแอถึง 12 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า การออกกำลังกายตั้งแต่ยังเล็กช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นในโรงเรียน

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ร่างกายมนุษย์กับศาสตร์ของท่านรอซูล

ร่างกายมนุษย์กับศาสตร์ของท่านรอซูล



                มนุษย์ คือ สิ่งถูกสร้างหนึ่งของพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา 
                พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบไปด้วยระบบต่างๆ ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ระบบโครงกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบสืบพันธุ์ แต่ละระบบทำหน้าที่เฉพาะและทำงานประสานกัน เสมือนเครื่องจักรกลเครื่องหนึ่งที่ทำงานโดยไม่มีวันหยุด




วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

นักวิทยาศาสตร์มุสลิม

 ประวัตินักวิทยาศาสตร์ ในช่วงปี ค.ศ. 370 - 1449 .
                ช่วงนี้เป็นสมัยที่มุสลิมครองความเป็นผู้นำ ดังนั้นในวงวิชาการจึงมีนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์มุสลิมเกิดขึ้มากมาย แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ยุโรปปัจจุบันพยายามที่จะปกปิด แต่ผลงานต่างๆเป็นที่ประจักแก่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน ในสมัยนี้ยุโรปยังอยู่ในความมืดของทางวิชาการ ชาวยุโรปจึงเรียกช่วงนี้ว่ายุคมืดแห่งวิชาการ ความสว่างทางวิชาการในยุโรปจะไม่วันเกิด หากชาวยุโรปไม่ได้ตักตวงและศึกษาจากผลงานของนักวิทยาศาสตร์มุสลิมในสมัยนั้น ยุโรปเป็นหนี้บุณคุณนักวิทยาศาสตร์มุสลิมเป็นแน่แท้

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอีด EID



วันอีด EID
     วันตรุษ ในอิสลามมี 2 วันคือ วันอีดฟิฎร และ วันอีดอัฎฮา จะตรงกับวันที่ 1 เดือนเชาวาล และวันอีดอัฎฮาจะตรงกับวันที่ 10 ของเดือนซุลฮิจญะฮ วันตรุษทั้ง 2 นี้ อัลลอฮได้ทรงกำหนดให้เป็นวันรื่นเริงของมุสลิม ดังหะดิษที่รายงาน โดยท่านนะซาอียจากท่านอนัส อิบนิมาลิก รฎิฯ กล่าวว่า ท่านร่อซูล (ซ.ล.) ได้เดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ ก็พบว่าชาวเมืองมีวันรื่นเริงอยู่ 2 วัน ท่านร่อซูล(ซ.ล.) จึงถามว่า วันทั้ง 2 นี้เป็นวันอะไร พวกเขาตอบว่า พวกเราได้เคยรื่นเริงสนุกสนานกันใน 2  วันนี้ ในสยัมญาฮิลียะฮ. ท่านร่อซูลจึงกล่าวว่า “ แท้จริงอัลลอฮฺ ได้ทรงเปลี่ยนวันทั้ง 2  ให้แก่พวกท่าน ด้วยวันที่ดีกว่า คือ วันอีดฟิฎร และวันอีดอัฎฮา” แม้ว่าวันอีดทั้ง 2   จะเป็นวันรื่นเริงก็ตาม แต่ท่านนบีก็ได้กำหนดแบบอย่างในการปฏิบัติอิบาดะฮฺ ต่ออัลลอฮฺไว้ด้วยคือ การกล่าวตักบรี การละหมาดอีด และ การรื่นเริงนั้น จะต้องอยู่ในขอบข่ายของศาสนบัญญัติ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

10 นิสัยทำร้ายสมอง



อัสลามมูอาลัยกูมวารอฮฺมาตุ้ลลอฮฺ

เรามาดูกันน่ะค่ะว่า อะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง (เพื่อความเป็นระเบียบ เรามาเริ่มที่ข้อหนึ่งเลยน่ะค่ะ)
1.ไม่ทานอาหารเช้า นอกจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแล้ว ยังเป็นเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ 



วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ซะกาตฟิฏรฺ (ฟิฏเราะฮฺ)


ซะกาตฟิฏรฺ (ฟิฏเราะฮฺ)
1. เหตุผลหรือวิทยปัญญาในการบัญญัติซะกาตฟิฏรฺ
ซะกาตฟิฏรฺ ถูกตราเป็นบัญญัติขึ้นเพื่อเป็นสิ่งขัดเกลาและชำระล้างผู้ที่ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ให้ปราศจากบาปอันเกิดจากคำพูดที่ไร้สาระและหยาบคายที่อาจเกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัติศาสนกิจอันนี้
ทั้งยังเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่ผู้ยากจนขัดสนในการบริจาคอาหาร เพื่อพวกเขาจะได้อิ่มหน่ำสำราญ ไม่ต้องขอวิงวอนจากผู้ใดในวันตรุษ(วันอีด)นั่นเอง ดังที่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในหะดีษฺที่รายงานโดยท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ความว่า
“ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัมได้กำหนด ซะกาตฟิฏรฺเพื่อชำระผู้ถือศีลอดให้สะอาดจากคำพูดที่ไร้สาระและหยาบคาย และเพื่อเป็นอาหารแก่คนยากไร้” (รายงานโดยอบู ดาวูด และอิบนุ มาญะฮฺ)


วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

The Losers of Ramadan


Ramadan is ending soon. It will pass with all of its uniqueness and virtues. The month full of blessings and forgiveness from Allah is soon away.
Are we getting the most of it? Are we striving hard to get all the virtues in it? Are we giving our bests to live its nights? Or are we expecting to do it better next time?
But then, it might be too late. This might be our last Ramadan.
saowjana

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

No Time to Pray


I knelt to pray but not for long,

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553



10 ข้อที่ควรปรับปรุงแก้ไขในชีวิตมุสลิม




วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อิอฺติกาฟ





โดยนิยามแล้ว อิอฺติกาฟ หมายถึง การที่บุคคลพยายามเก็บตัวอยู่ในมัสยิดอย่างสงบตามวิธีการที่ได้กำหนดไว้ เป้าหมายสำคัญก็คือ
 - เพื่อปลีกตัวออกจากภารกิจทางโลก และครอบครัวอันมากมาย สู่การแสวงความผ่องแผ้วแห่งจิตวิญญาณเสริมสร้างพลังและศักยภาพเพื่อเป็นกลไก ที่จะเอื้ออำนวยให้กิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นและดียิ่งขึ้น

- หากว่าเราะมะฎอนเป็นหนึ่งเดือนแห่งการทดสอบประจำปีที่เปี่ยมล้นด้วยเราะหฺมัรจากอัลลอฮฺ ดังนั้นการอิอฺตีก้าฟในสิบวันสุดท้ายของเราะมะฎอนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบเฉพาะที่ทวีขึ้นไปอีกสำหรับผู้ที่บรรลุความสำเร็จจากการทดสอบแห่งเดือนเราะมะฎอนโดยภาพรวม เพื่อความสำเร็จที่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
เพื่อพยายามแสวงหาลัยละตุล-ก็อดร์ เช่นที่มีปรากฏอยู่ในซุนนะฮฺ (แบบอย่าง) ของรอซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม 
saowjana

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การถือศีลอดในทัศนะทางการแพทย์

อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในสูเราะฮฺ  อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 183 ว่า

«يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ» (البقرة/183)
มีใจความว่า โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย  การถือศีลอดได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้า  ดังเช่นได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนเจ้า  เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง( 2/183 )

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รอมฎอนมูบาร็อก

بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته
พี่น้องผู้คิดจะเปลี่ยนเอ๋ย
อีกกี่วันที่จะมา อีกกี่คืนที่จะถึง เดือนแห่งการเตาบัต เดือนแห่งการทำอิบาดะห์
 และเดือนแห่งการลิ้มรสชาติของอีหม่านและความอดทน
พร้อม หรือยัง เปลี่ยนหรือยัง แล้วเตรียมตัวหรือยัง กับการศัลยกรรมจิตใจ ศัลยกรรมอีหม่าน ศัลยกรรมซึ่งความยำเกรงและศัลยกรรมซึ่งความเป็นอยู่
หรือ.....วันนี้!
เรายังจะศัลยกรรมร่างกายของเราแต่เรามิได้ศัลยกรรมซึ่งจิตใจของพวกเรากระนั้นหรือ..พี่น้อง
พี่น้องเอ๋ย
เราเน้นตกแต่ง ร่างกายของเรา ประทินโฉมร่างกายของเรา เราเสริมนั่่น แต่งนั่น ทำนี่ ซื้อนั่น ซื้อนี่ เพื่อต้องการให้เราสวย เราหล่อ เราหุ่นดี เราหุ่นสวย เพื่อให้ใครๆเขาพอใจหรือเพื่อต้องการให้ร่างกายเป็นที่ดึงดูดเพศตรงข้าม แต่ เราไม่เคยตกแต่งซึ่งจิตวิญาณของเรา ไม่เคยตกแต่งอีหม่านของเราเพื่อให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ(ซ.บ)เลย ใช่ไหม เราไม่เคยมาทบทวนอามาลของเราเลยหรือ?...พี่น้อง 

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Selamat menepohi Ramadhanulkareem



วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตารางการอ่านอัลกุรอานในเดือนรอมะฎอน

"จงอ่านเถิด ด้วยพระนามแห่งผู้อภิบาลของเธอ ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเธอนั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ ..." (บทอัลอะลัก)

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ซุนนะฮฺในเดือนชะอฺบาน


1. การถือศีลอดในเดือนชะอฺบาน
เป็นสิ่งที่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ปฏิบัติและสนับสนุน โดยมีรายงานจาก ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวไว้ว่า : "ท่านนบีมักจะถือศีลอดจนกระทั่งเรานึกว่าท่านจะไม่เว้น และท่านอาจจะงดการ ถือศีลอดจนกระทั่งเรานึกว่าท่านจะไม่ถือศีลอด และฉันไม่เคยเห็น ท่านนบีถือศีลอดครบเดือนหนึ่งเดือนใดเว้นแต่เดือนรอมฎอน และไม่เคยเห็นท่าน ถือศีลอดมากมายเหมือนที่ท่านถือศีลอดในเดือนชะอฺบาน" (บันทึกโดยบุคอรี ยฺและมุสลิม)



และมีรายงานจาก ท่านอุซามะฮฺ อิบนุซัยดฺ กล่าวว่า : ฉันได้พูดกับท่านนบีว่า โอ้ร่อซูลของอัลลอฮฺ ฉันไม่เคยเห็นท่าน ขยันถือศีลอดในเดือนหนึ่งเดือนใดเหมือนที่ท่านถือศีลอดใน เดือนชะอฺบาน (หมายถึงถือศีลอดซุนนะฮฺ)?  ท่านนบีจึงตอบว่า
 ذلِكَ شَهْرٌ تَغْفُلُ النَّاسُ فِيهِ عَنْهُ ، بَيْنَ رَجَبٍ وَرَمَضَانَ ،  وَهُوَ شَهْرٌ تُرْفَعُ فِيْهِ الأَعْمَالُ إِلَى رَبِّ الْعَالَمِيْنَ ،  وَأُحِبُّ أَنْ يُرْفَعُ عَمَلِي وَأَنَا صَاِئم
"นั่น(เดือน ชะอฺบาน)เป็นเดือนที่มนุษย์มักจะเพิกเฉยระหว่างเดือน รอ ญับและเดือนรอมฎอน และ เป็นเดือนที่บรรดาการงานจะถูกยกและถูกเสนอต่อองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากล โลก และฉันชอบให้การงานของฉันถูกยกและถูกเสนอขณะที่ฉันถือศีลอด" (บัน ทึกโดยอิมามนะซาอียฺและอิมามอบีดาวู้ด; ดู ศ่อฮีฮุตตัรฆีบวัตตัรฮีบ)

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

moonbow


(รุ้งพระจันทร์ ถ่ายที่น้ำตกวิกตอเรีย อาฟริกา (ถ่ายตอนกลางคืน ใต้แสงจันทร์)


 รุ้ ง แ ส ง จั น ท ร์ ( m o o n b o w )

. . . . รุ้ ง แ ส ง จั น ท ร์    แ ส น ง า ม     เ มื่ อ บั ง เ กิ ด

จั ก กำ เ นิ ด          ด้ ว ย กั บ           พ ร ะ จั น ท ร์ ฉ า ย

สะ ท้ อ น ยั ง        น้ำ ค้ า ง            ท อ ป ร ะ ก า ย

ส ลั บ ส า ย         ล ะ อ อ             ณ . เ บื้ อ ง บ น

  . . . . อั ศ จ ร ร ย์       ก ล า ง วั น       อั ล ล อ ฮ์ ส ร้ า ง

รุ้ ง ส ล้ า ง              บ ร ร เ จิ ด          ห ลั ง เ กิ ด ฝ น

ย า ม ร า ต รี           มื ด มิ ด              ห ม่ น ก ม ล

ยั ง ไ ด้ ย ล         รุ้ ง ง า ม            เ ห นื อ น่ า น ฟ้ า . . . . .



มูนโบว์ หรือ รุ้งจันทรา คือ รุ้งกินน้ำที่เกิดจากแสงจันทร์ ไม่ใช่แสงอาทิตย์ รุ้งจันทราจะค่อนข้างซีดจาง เนื่องจากแสงจันทร์มีความสว่างน้อยกว่าแสงอาทิตย์มาก
เป็นเหตุให้รุ้ง จันทราดูไม่ค่อยมีสีสันด้วยตาเปล่า (cone receptors ภายในตาคนเราจะมีประสิทธิภาพในการเห็นแสงสีน้อยลง ในที่ที่มีแสงน้อย) การถ่ายภาพโดย
เปิดหน้ากล้องเป็นเวลานานจะทำให้เห็นสีของรุ้งชัดเจนขึ้น บางครั้งคนจะสับสนและเรียก "พระจันทร์ทรงกลด" ว่าเป็น "รุ้งจันทรา" ทั้งๆ ที่ "พระจันทร์ทรงกลด"
จัดเป็นปรากฏการณ์ประเภท "ฮาโล" ไม่ใช่ "รุ้งกินน้ำ" .....รุ้งจันทราจะเห็นได้ง่ายเมื่อพระจันทร์เต็มดวงอยู่ใกล้ขอบฟ้า ต่ำกว่า 42 องศา และท้องฟ้ามืด
รุ้งจันทราจะเกิดด้านตรงข้ามกับดวงจันทร์ มีจุดศูนย์กลางจะอยู่ที่ anti-lunar point

 แผนภาพตำแหน่งการเกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า
จำลอง จากแผนภาพในหนังสือ Kaleidoscope Sky ของ Tim Herd


 



 ข้อมูลและภาพประกอบจาก: http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=80660


วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กำเนิดสบู่

 
ในสมัยโบราณถึงแม้ว่า ส่วนผสมของสบู่จะเป็นที่รู้จักกันบ้างแล้วและใช้กันอย่างแพร่หลายในเมโสโปเต เมีย แต่ก็ยังไม่มีการนำเอามาทำสบู่ มีบ้างก็เอาส่วนผสมเหล่านี้ไปทำผงซักฟอก

   ต่อมาพลีนี (Pliny หรือ Gaius หรือ Caius Plinius Secundus, ค.ศ.23-79, ถูกขนานนามว่า "พลีนีผู้อาวุโส" เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน) ได้เขียนบันทึกเรื่องชนิดของสบู่อ่อนของชาวกอล (ชาวยุโรปโบราณอาศัยแถบเหนือของอิตาลี,ฝรั่งเศส,เบลเยี่ยม) แต่นักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่าเป็น น้ำมันใส่ผมที่ทำมาจากไขมัน เมื่อผสมกับด่างแล้วไม่สามารถเป็นสบู่ได้

   ในโลกยุคกลางได้มีการทำสบู่ในแถบทางตอนเหนือของยุโรป โดยใช้ถ่านจากไม้ผสมกับไขมันสัตว์และน้ำมันปลา เป็นสบู่เหลวที่มีกลิ่นเหม็น พวกเขาใช้สำหรับทำความสะอาดเสื้อผ้าและก็ไม่ได้ใช้ทำความสะอาดร่างกายกัน อย่างแพร่หลาย และโดยปกติชาวยุโรปก็มิได้ใช้สบู่ในการทำความสะอาดร่างกายเลย และไม่มีการปรับปรุงสูตรการทำสบู่อีกจนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 18

   ซีเรียเป็นแหล่งทำสบู่ก้อนที่มีชื่อเสียง ซึ่งใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกาย นักโบราณคดีได้ขุดพบหลักฐานการทำสบู่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 8 ส่วนนักภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่ 10 ได้รายงานว่าเมือง 'นาบลุส' ในปาเลสไตน์ เป็นแหล่งส่งออกสบู่ที่โด่งดังมากของสมัยกลาง

   สบู่ยังคงถูกผลิตขึ้นในดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่ตกอยู่ภายใต้การปกครอง ของจักรวรรดิมุสลิม รวมทั้งอัล-อันดาลุส (สเปนภายใต้การปกครองของมุสลิม) ที่ซึ่งน้ำมันมะกอกหาได้ง่ายดายมาก ในช่วงปี 1200 ที่เมืองเฟซประเทศโมร็อคโค ซึ่งเป็นแหล่งที่ผลิตสบู่ถึง 27 ราย ในศตวรรษที่ 13 ยุโรปนำเข้าสบู่จากดินแดนมุสลิมในเมดิเตอร์เรเนียนและส่งข้ามเทือกเขาแอลป์ ไปยังยุโรปผ่านอิตาลี

   ที่ยุโรปสมัยกลาง ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการทำสบู่เลย ที่เก่าแก่ที่สุดก็เป็นงานเขียนในปี 1547 ชื่อ the Secret of Master Alexis of Piedmint

   ในงานเขียนของอาหรับเราพบสูตรสั้นๆ ในผลงานด้านเคมีของอัล-ราซี นักวิทยาศาสตร์มุสลิมผู้ยิ่งใหญ่ที่โลกตะวันตกรู้จักในนาม 'ราเซส' ส่วนสูตรที่ละเอียดจริงๆ เป็นของ อัีล-อันตากี (Da'ud al-Antaki เสียชีวิตในปี 1599) แพทย์ชาวซีเรียในสมัยศตวรรษที่ 17



หมาย เหตุ : ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการทำสบู่ของโลกมุสลิมยุคกลาง

   สบู่ที่แท้จริงแบบที่เราใช้กันในทุกวันนี้ถูกคิดค้นโดยชาวมุสลิมในยุค รุ่งโรจน์ของศิลปวิทยาการมุสลิมในสมัยกลาง พวกเขาใช้น้ำมันพืช (เช่น น้ำมันมะกอก) ผสมกับน้ำหอม (เช่นน้ำมัน Thyme) และ Lye (Al-Soda al-Kawia สารละลายน้ำของโซเดียมไฮดรอกไซด์) สูตรที่ใช้ทำสบู่ในตอนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลย และเหมือนกับสูตรที่ใช้ทำสบู่ที่เราใช้ทำความสะอาดร่างกายในทุกวันนี้ทุก ประการ

   ช่วงศตวรรษที่ 7 เมืองหลักที่ผลิตสบู่ได้แก่ นาบลุส (ปาเลสไตน์) , คูฟา (อิรัก) , และบาสรา (อิรัก) สบู่ที่เรารู้จักในทุกวันนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากสบู่อาหรับ (Arabian Soaps) เป็นสบู่มีกลิ่นหอมและมีสีสันสวยงาม บ้างก็เป็นแท่งแข็ง บ้างก็เป็นสบู่เหลว

   ในปี ค.ศ.981 สบู่ขายกันในท้องตลาดราคาก้อนละ 3 ดิรฮัม (เท่ากับ 0.3 ดีนาร์) และอัล-ราซีเป็นคนแรกที่บันทึกรายละเอียดการทำสบู่ไว้

   สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มุสลิมคิดค้นทำสบู่ น่าจะเป็นเพราะอิสลามสอนว่า 'ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา' และกฎของศาสนาบังคับให้มุสลิมต้องทำความสะอาดร่างกาย 5 เวลาก่อนละหมาด

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟุตบอล


ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติการการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431 วิวัฒนาการ ด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้น กำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คน...ติดไวรัสคอมฯ


มีรายงานว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Reading กลายเป็นบุคคลแรกในโลกที่ติดไวรัสคอมพิวเตอร์...

ดร.มาร์ค แกสสัน จากวิทยาลัยวิศวกรรมระบบ กลายเป็นบุคคลแรกที่ติดไวรัสคอมพิวเตอร์โดยการปนเปื้อนจากชิพที่ปลูกถ่ายไว้ ที่มือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัยด้านการพัฒนามนุษย์และตรวจผลเสียจาก การปลูกถ่ายอุปกรณ์อิเลคทรอนิคลงไปในร่างกายของเรา

ผลที่ได้นี้มี ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปลูกถ่ายเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ลงไปในร่างกายของเรา เทคโนโลยีเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาทางการแพทย์ เช่น การปลูกถ่ายเครื่องกระตุ้นหัวใจ การปลูกถ่ายคอเคลีย (cochlear) รวมถึงเทคนิคการรักษาอื่น ๆ

ดร.แกสสัน กล่าวว่า ยิ่งเทคโนโลยีด้านการปลูกถ่ายอุปกรณ์เหล่านี้พัฒนาไปมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มากเท่านั้น

งานวิจัยของแกสสัน แสดงให้เห็นว่าเทคโลยีการปลูกถ่ายได้พัฒนาไปถึงขั้นที่อุปกรณ์เหล่านั้น สามารถติดต่อสื่อสาร เก็บข้อมูลและจัดการข้อมูลได้แล้ว จะว่าไปอาจเรียกได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ ซึ่งหมายความว่า มันสามรถติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์หลักที่เราใช้กัน อยู่ เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นมาจึงควรมีระบบป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์สำรองไว้ ในอนาคตหากมีการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านั้นก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น

ดร.แก สสันจะนำเสนอผลการศึกษานี้ในเดือนหน้าที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติด้านเทคโนโลยี และสังคมในออสเตรเลีย
สำหรับกรณีติดไวรัสคอมพิวเตอร์ของแกสสันที่เกิด ขึ้นในครั้งนี้เกิดจากชิพประเภท high-end Radio Frequency Identification (RFID) ที่ใช้ติดฉลากรักษาความปลอดภัยในร้านค้าป้องกันขโมยและใช้บอกได้ว่าสัตว์ เลี้ยงตัวไหนสูญหายไป

ชิพชนิดนี้ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับ โทรศัพท์มือถือของแกสสันและช่วยให้แกสสันไปทำงานได้อย่างปลอดภัย นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยสร้างประวัติและช่วยในการค้นหาแกสสันได้อีกด้วย แต่เมื่อชิพนี้ติดไวรัสทำให้ชิพไม่สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์หลักได้ หากชิพมีการเชื่อมต่อกับระบบอื่นก็จะทำให้ระบบนั้นติดไวรัสไปด้วย

แก สสันกล่าวว่า ชิพที่ถูกปลูกถ่ายลงในมือของตนก็เหมือนกับการปลูกถ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชนิดอื่น หลังจากปลูกถ่ายไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ทำให้เค้ารู้สึกว่า ชิพนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เค้าตื่นเต้นว่าตนเองกลายเป็นบุคคลแรกที่อุปกรณ์ ปลูกถ่ายติดไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นประสบการณ์อันเลวร้ายเพราะชิพและตัวของเค้ามีการสื่อสารถึงกันแต่ใน สถานการณ์นี้เค้าไม่สามารถควบคุมได้เลย
แกสสันเชื่อว่า อาจเป็นไปได้ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์ในอนาคตจะมีส่วนหนึ่งของร่างกายเป็น เครื่องกลหากเราต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพของตน จริง ๆ แล้วสังคมอาจเป็นตัวกดดันให้เราต้องปลูกถ่ายอุปกรณ์เหล่านี้ก็ได้ในอนาคต เหมือนกับว่ามันอาจกลายเป็นประเพณีที่ทุกคนต้องมี อย่างโทรศัพท์มือถือหรืออาจจะทำให้เราลำบากหากเราไม่มี อย่างไรก็ตามเราต้องตระหนักว่าอุปกรณ์เหล่านี้สามารถเกิดการขัดข้องได้ เช่นเดียวกัน...

ที่มา: University of Reading (2010, May 26). Could humans be infected by 'computer viruses?'. ScienceDaily. Retrieved October 6, 2008

อ้างอิง: http://www.sciencedaily.com/releases/2010/05/100526095830.htm

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พื้นที่ที่ต่ำที่สุดในโลก

บนพื้นดินที่เรา เดิน วิ่ง หรือขึ้นรถไปโน้นมานี้ ก็เป็นที่รู้ว่าระดับของพื้นดินในแต่ละแห่งไม่เท่ากัน สูงบ้าง ต่ำบ้าง และเราก็ทราบกันทุกคนแล้วที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ยอดดอยอินทนนท์             ยอด ดอยอินทนนท์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2565.3341 เมตร การที่จะรู้ว่าที่นั้นตำกว่าหรือสูงกว่านั้นจะต้องใช้เครื่องมือที่เพิ่งคิด ค้นพบได้ไม่กี่สิบปีนี้เอง ก่อนหน้านั้นถ้าจะรู้ว่าที่นั้นสูงกว่าหรือต่ำกว่าได้ก็โดยการคาดเดาด้วยสาย สา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านับพื้นที่ทั่วโลกแล้วยากมากที่จะบอกว่าตรงจุดไหนที่ตำ กว่าหรือสูงกว่ากัน

           สิ่งหนึ่งสิ่งใดถ้าจะบอกว่าตรงไหนสั้นกว่าหรือ ยาวกว่า หรือว่าตรงไหนต่ำกว่าหรือสูงกว่าต้องถามคนที่ประดิษฐ์สิ่งนั้นถึงจะถูกต้อง ที่สุด แน่นอนพื้นดินที่เราอาศัยอยู่ก็เช่นกัน การจะรู้ว่าตรงไหนสูงกว่าหรือต่ำกว่านั้นก็รู้จากผู้สร้างที่เป็นผู้บอกเอง 
           เมื่อพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว สถานที่ที่ต่ำที่สุดบนพื้นที่โลกพระเจ้าผู้สร้างโลกได้ทรงบอกแก่มวลมนุษย์ แล้วว่าตรงไหนต่ำที่สุด ดังที่พระองค์ทรงตรัสในอัลกุรอาน ในสูเราะฮฺ อัร-รูม อายัตที่ 1-4 ว่า
الم * غُلِبَتِ الرُّومُ * فِي أَدْنَى الْأَرْضِ وَهُمْ مِنْ بَعْدِ غَلَبِهِمْ سَيَغْلِبُونَ * فِي بِضْعِ سِنِينَ لِلَّهِ الْأَمْرُ مِنْ قَبْلُ وَمِنْ بَعْدُ وَيَوْمَئِذٍ يَفْرَحُ الْمُؤْمِنُونَ 
             ความ ว่า : (1) อะลิฟ ลาม มีม  (2) พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว (3) ในดินแดนอันใกล้นี้ แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะ (คือ หลังจากปราชัยต่อพวกเปอร์เชียแล้ว พวกโรมันก็จะได้รับชัยชนะ) (4)ใน เวลาไม่กี่ปีต่อมา พระบัญชาเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ทั้งก่อนและหลัง (ชัยชนะ) และวันนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ 
          อายัต นี้อัลลอฮฺได้บ่งบอกอย่างน้อยสองอย่างที่นับว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความ สามารถของมนุษย์ในสมัยนั้น โดยอัลลอฮฺบอกในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาคหน้า ชาวโรมัน อาณาจักรไบเซนไทน์ จะได้รับความพ่ายแพ้  และเมื่อ ข่าวการพ่ายแพ้ของพวกโรมันต่อพวกเปอร์เซีย พวกมุสลิมก็เศร้าเสียใจด้วย เพราะพวกโรมันเป็นกลุ่มที่นับถือพระเจ้าเหมือนกับมุสลิม แต่ชาวเปอร์เซียเป็นพวกบูชาไฟและเป็นกลุ่มที่พวกมุชริกินที่ปฏิเสธอิสลามใน มักกะฮฺต่างก็เยอะเย้ยมุสลิม
          กระนั่นก็ตามในอายัตต่อมา(อายัตที่ 3 และ 4) อัลลอฮฺ ก็ได้แจ้งว่าพวกโรมันจะได้รับชัยชนะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเมื่อนั่นมุสลิมก็จะได้รับความดีใจ  
          คำว่าไม่กี่ปีในอัลกุรอานใช้คำว่า بِضْعِ سِنِينَ ซึ่งคำว่า بِضْعِ   เป็นภาษา อาหรับที่มีความหมายว่าหลายปี และหลายที่นี้อยู่ในช่วง 3-9 ปี มีรายงานหนึ่งว่า ชาวมุชริกีนไปถามว่ากี่ปี บางคนตอบไปว่า 7 ปี เมื่อเวลาผ่านไป 7 ปีจริง พวกโรมันก็ยังไม่ได้รับชัยชนะ ก็ยี่งทำให้ชาวมุชริกีนยี่งเยาะเย้ยมุสลิมรวมไปถึงเยาะเย้ยความเป็นจริงของ อัลกุรอานด้วย และพวกเขา(ทุกคนที่ไม่เชื่ออัลกุรอาน)ต่างก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกโรมัน จะชนะเปอร์เซีย เพราะพวกโรมันในช่วงนั้นต่ำต้อยและยากจนมาก และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 9 ปี โรมันก็ได้รับชัยชนะจริงๆ (บางรายงานกล่าวว่าใช้เวลา 7 ปี) นี่เป็นหลักฐานที่แน่ชัดอย่างหนึ่งว่าอัลกุรอานนั้นไม่ใช่คำกล่าวลอยที่ยก ร่างขึ้นมาเอง หรือเป็นคำพูดของนบี แต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแท้จริงๆ
          สถานที่เกิดสงครามระหว่างพวกโรมันกับพวกเปอร์เซียและได้รับชัยชนะ นั้น เป็นพื้นดินระหว่างจอร์แดนกับฟาเลสไตน์(อิสราเอล) อิบนุหะญัรฺ อัล-อัศกอลานี้ ได้กล่าวว่า ดินแดนที่เกิดสงครามนั้นคือช่วงระหว่าง อัซรออาตในจอร์แดนกับบัศรอในชาม 


แผนที่แสดงพื้นที่ระหว่างจอร์แดน และฟาเลไตน์(อิสราอีล)
ทะเลเดดซีอยู่ระหว่างทั้งสองประเทศ และเป็นพึ้นที่ที่ต่ำที่สุด

          ในอัลกุรอาน อัลลอฮฺใช้คำว่า أَدْنَى الْأَرْضِ

          คำว่า الْأَرْضِ หมายถึง  พื้น แผ่นดินหรือพื้นโลก
          คำว่าأَدْنَى  มีหลายความ หมาย     
            1. แปลว่า أقرب หมายถึงที่ ใกล้ที่สุด นั้นหมายถึงสงครามที่พวกโรมันแพ้พวกเปอร์เซียอยู่ในดินแดนที่ไม่ไกลจากมักกะ ฮฺและมะดีนะฮฺ และนักอรรถาธิบายอัลกุรอานส่วนใหญ่จะเขียนแปลความหมายในอายัตนี้ในความหมาย นี้ รวมทั้งหนังสือแปลความหมายอัลกุรอานที่เป็นภาษาไทยด้วย    
            2. แปลว่า أقل หมายถึง น้อยที่สุด     
            3. แปลว่า أخفض หรือ أهبط  หมาย ถึงที่ต่ำที่สุด
          จากการศึกษาด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ พื้นดินที่ตำที่สุด พบว่า
            ·         บนพื้นดิน ดินบริเวณพื้นที่ต่ำอัลฟัยยูมในประเทศอิยิปต์ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 45 เมตร
            ·         ก้นทะเลสาบ Death Valley ใน California ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 85 เมตร
            ·         พื้นที่ต่ำ ทางตอนเหนือของทะเลทรายในอิยิปต์ตะวันตก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 133 เมตร
            ·         ก้นทะเลสาบ Tiberias طبرية ทางตอนเหนือของอิสราเอล ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 209 เมตร
            ·         พื้นที่ ประเทศจอร์แดน  ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 212-400 เมตร
            ·         ผิวน้ำในทะเลเดดซี ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 402 เมตร
            ·         พื้นดินที่ ต่ำที่สุดบริเวณทะเดดซี ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 394เมตร
  
ป้ายแสดงสถานที่ต่ำที่สุดใน โลก ต่ำกว่า -416 เมตร จากระดับน้ำทะเล

         การวัดความลึกของบริเวณเดดซี(หรือที่อื่นๆ) จะสามารถทำได้โดยใช้เทคโนโลยีในสมัยใหม่เท่านั้น ก่อนหน้านี้ เป็นไ ปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดสามารถล่วงรู้ว่า ที่แห่งใดเป็นดินแดนที่ต่ำที่สุดบนพื้นโลก แต่ดินแดนดังกล่าวได้ถูกกล่าวไว้แล้วในอัลกุรอานว่าเป็นดินแดนที่ต่ำที่สุด บนโลก และนี่ก็เป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งว่า อัลกุรอาน เป็นวจนะของอัลลอฮ์(ซ.บ.)พระ เจ้าผู้ทรงสร้าง อย่างแท้จริง

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทบาทของสตรี


บทบาทของสตรี ศึกษาตัวอย่างจากประวัติของเศาะหาบิยาต
แท้จริงแล้วอัลลอฮฺได้สร้างมนุษย์ ทั้งเพศชายและเพศหญิงเป็นคู่กัน โดยทั้งคู่เป็นสิ่งที่ขาดจากกันไม่ได้เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิต ดังปรากฏในวจนะของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม มีใจความว่า “แท้ จริงแล้วเหล่าผู้หญิงนั้นคือผู้เคียงคู่ผู้ชาย” (อบู ดาวูด) ดังนั้นจึงไม่เป็นที่คลางแคลงอีกเลยว่า บทบาทของผู้หญิงในการร่วมกันสร้างสรรค์ชีวิตครอบครัวและสังคมให้ดีนั้นมี ความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยถ้าจะหมายถึงว่าเป็นเสาหลักแล้วก็เป็นการตีความที่ถูกต้องตามนัยยะที่ว่า ภาระหน้าที่อีกส่วนหนึ่งในชีวิตผู้ชายมิอาจจะสมบูรณ์ได้ถ้าหากปราศจาก ผู้หญิง สังเกตได้จากหะดีษบทหนึ่งซึ่งมีความว่า “ผู้ใดที่อัล ลอฮฺประทานภรรยาที่ดีให้เขา แน่แท้ย่อมแสดงว่าพระองค์ได้ช่วยเหลือในครึ่งหนึ่งของศาสนาเขาแล้ว” (อัล-หากิม)
ณ ที่นี้ขอยกตัวอย่างบทบาทของมุสลิมะฮฺในการทำหน้าที่เป็นเสาหลักสำหรับคู่ ชีวิตของนาง จากเรื่องเล่าของบรรดาภริยาท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม และเหล่าเศาะหาบิยาต ผู้เป็นบุปผชาติแห่งสวนสวรรค์ พอสังเขปดังนี้



1.        เคาะ ดีญะฮฺ บินติ คุวัยลิด
เคาะดีญะฮฺ บินติ คุวัยลิด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ภริยาคนแรกของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งซึ่งประเสริฐที่สุดในหมู่สตรีทั้งหลายในโลก ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม มักจะพูดถึงนางด้วยความชื่นชมและยกย่องเสมอ ท่านอาอิชะฮฺ เคยเล่าว่า “ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม เมื่อกล่าวถึงเคาะดีญะฮฺแล้ว ไม่เบื่อที่จะพูดยกย่องและอิสติฆฺฟารฺ(ขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ)ให้นาง วันหนึ่งขณะที่ท่านพูดถึงนางอีกครั้งฉันมีความรู้สึกหึงหวงขึ้นมา จึงได้กล่าวแก่ท่านว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทดแทนให้ท่านจากหญิงที่มีอายุมาก(ด้วยภรรยาคนอื่น)แล้ว เมื่อนั้นฉันเห็นท่านรอซูลโกรธมากจนฉันใจสั่น และคิดในใจว่า โอ้ อัลลอฮฺ หากพระองค์ทำให้ท่านหายโกรธฉันแล้ว ฉันจะไม่กล่าวถึงเคาะดีญะฮฺด้วยคำพูดที่ไม่ดีอีกเลย เมื่อท่านรอซูลเห็นอาการฉันเช่นนั้น จึงกล่าวขึ้นว่า ((เธอพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ แท้จริงนาง(เคาะดีญะฮฺ)ได้ศรัทธาต่อฉันในขณะที่คนอื่นทั้งหลายไม่ยอมเชื่อ นางได้ต้อนรับฉันในขณะที่ผู้อื่นปฏิเสธฉัน และฉันยังได้มีบุตรกับนาง ในขณะที่พวกเธอไม่มีบุตรกับฉันเลย))” (อัซ-ซะฮะบีย์. สิยัร อะอฺลาม อัน-นุบะลาอฺ. 2:112)
เมื่อครั้งที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้เจอญิบรีลครั้งแรก ซึ่งสร้างความตระหนกตกใจแก่ท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้กลับไปหาเคาะดีญะฮฺด้วยอาการสั่นทั้งตัวเพราะความกลัว ท่านได้สั่งให้นางห่มผ้าให้และพูดกับนางว่า ((ฉันเป็นอะไรนี่เคาะดีญะฮฺ? ฉันกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับฉัน)) นางได้ตอบท่านว่า “ไม่ ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน จงยินดีเถิด ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ พระองค์จะไม่ทรงทำร้ายท่านเด็ดขาด แท้จริงท่านเป็นผู้ที่ผูกสัมพันธ์กับญาติมิตร ท่านเป็นผู้สัจจริงในคำพูด ท่านคอยแบกรับความเดือดร้อนของผู้อื่น และคอยช่วยเหลือในความถูกต้อง” นางยังได้พาท่านรอซูลไปหา วะรอเกาะฮฺ อิบนุ เนาฟัล ญาติผู้หนึ่งของนางที่เป็นผู้รู้เกี่ยวกับคัมภีร์อินญีล ซึ่งได้บอกแก่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ว่า ผู้ที่มาหาท่านนั้นคือญิบรีล ผู้เคยลงมาหาศาสนทูตมูซาแล้วในอดีต (อัล-บุคอรีย์ ดู อัซ-ซะฮะบีย์. 2:112)
2.        อา อิชะฮฺ บินติ อบู บักรฺ
ในบรรดาภริยาทั้งหลายของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ท่านอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา เป็นภรรยาที่ท่านรักมากที่สุด เพราะนางมีความพิเศษหลายประการที่สร้างความสุขให้ชีวิตของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม
ในฐานะสามี สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือความสุขที่ได้รับจากภรรยา และอาอิชะฮฺได้ทำหน้าที่นี้อย่างดีเยี่ยมแก่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม นางเป็นภรรยาคนเดียวที่ท่านรอซูลแต่งงานในขณะที่ยังเป็นสาว เป็นบุตรีของอบู บักรฺ สหายผู้เป็นที่รักที่สุดของท่านรอซูล นางมีนิสัยเยี่ยงเด็กสาวที่มักจะขี้เล่น อ่อนโยน ไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ ในขณะที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นยอด และเข้าใจปรนนิบัติสามีของนางอย่างดี
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เล่าให้ฟังว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้วิ่งแข่งกับนางและนางได้วิ่งชนะท่าน จนเมื่อนางอ้วนขึ้นท่านก็วิ่งชนะนาง และกล่าวแก่นางว่า “นี่อาอิชะฮฺ ชนะครั้งนี้แทนที่แพ้ครั้งก่อนไงล่ะ” (อะหฺมัด, อบู ดาวูด, อัน-นะสาอีย์, อิบนุ มาญะฮฺ. ดู อัซ-ซะฮะบีย์. 2:174)
ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม เคยนอนหนุนตักอาอิชะฮฺในขณะที่นางมีรอบเดือน และท่านได้อ่านอัล-กุรอานให้นางฟัง ท่านเคยจูบนางในขณะที่นางถือศีลอด และยังให้นางหวีผมให้เมื่อตอนที่ท่านอิอฺตีก้าฟในมัสยิดโดยยื่นศรีษะให้นาง ซึ่งอยู่นอกมัสยิด (อัล-บุคอรีย์และมุสลิม)
ท่านอาอิชะฮฺ ได้เล่าอีกว่า เคยอาบน้ำญะนาบะฮฺร่วมกับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม จากถังใบเดียว ท่านได้รีบอาบแข่งกับฉัน จนฉันกล่าวว่า ปล่อยบ้าง ปล่อยให้ฉันอาบบ้าง (มุสลิม)
เมื่อครั้งที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ใกล้จะเสียชีวิตนั้น อับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อบู บักรฺ ได้เข้ามาหาท่านพร้อมไม้สีฟันที่ยังสดอยู่ ท่านได้มองดูมัน จนท่านอาอิชะฮฺสังเกตเห็นและเข้าใจว่าท่านต้องการมัน นางเล่าว่า “ฉัน จึงเอาไม้สีฟันนั้นมากัดให้นุ่มและส่งให้ท่าน ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ใช้ไม้นั้นสีฟันและส่งมันคืนแก่ฉัน แต่มือของท่านตกลงไปด้วยไม่มีแรง ฉันได้ขอดุอาอ์ให้ท่านด้วยดุอาอ์ที่ญิบรีลได้ขอให้ท่านทุกครั้ง เป็นดุอาอ์ที่ท่านรอซูลเองขอให้ตัวเองเมื่อท่านป่วย แต่ครั้งนี้ท่านไม่ได้อ่านมัน จากนั้นท่านได้มองไปยังเบื้องบนและกล่าวว่า ((สู่การเป็นสหายกับผู้สูงส่งยิ่ง)) แล้วลมหายใจของท่านก็หมดลง ขอสรรเสริญอัลลอฮฺที่ได้รวมน้ำลายของฉันกับของท่านในห้วงสุดท้ายแห่งชีวิต ของท่านรอซูลในโลกดุนยา” (อะหฺมัด, อัล-หากิม. ดู อัซ-ซะฮะบีย์. 2:189)
มีคนถามท่านอาอิชะฮฺว่า โอ้ ผู้เป็นมารดาแห่งศรัทธาชน อัลกุรอานและความรู้เกี่ยวกับสิ่งหะลาลและหะรอมนั้นท่านรับมาจากรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ส่วนความรู้เกี่ยวกับกวี เชื้อสาย และเรื่องเล่านั้นท่านรับมาจากบิดาและคนอื่นๆ แล้วความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ท่านรับมาจากไหนกันเล่า? ท่านอาอิชะฮฺตอบว่า “ได้ มีแขกจากที่ต่างๆ มาหาท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็นประจำ บ่อยครั้งที่มีผู้ถามท่านเกี่ยวกับโรคนั้นโรคนี้ และท่านได้บอกพวกเขาถึงยาต่างๆ ในการใช้รักษา ฉันได้ฟังได้จำมาและเข้าใจมัน” (อัซ-ซะฮะบีย์. 2:197)
3.        อุ มมู สะละมะฮฺ
เมื่อครั้งที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม เสร็จจากการทำสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮฺ ท่านได้สั่งบรรดาเศาะหาบะฮฺให้เชือดสัตว์และโกนผมเพื่อออกจากอิหฺรอม แต่ต่างคนต่างก็ไม่มีผู้ใดทำเพราะยังฝังใจที่พวกกุเรชขัดขวางไม่ให้เข้ามัก กะฮฺ ท่านได้สั่งเช่นนั้นถึงสามครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครทำตาม จึงเข้าไปหาอุมมุ สลามะฮฺ และเล่าให้นางฟัง ด้วยไหวพริบของอุมมุ สลามะฮฺ นางบอกแก่ท่านรอซูลว่า “ท่านจงออกไปโดยไม่ต้องพูดกับผู้ใดทั้ง สิ้น จนกว่าท่านได้เชือดสัตว์และโกนผมแล้ว” ท่านจึงได้ออกไปอีกครั้งและทำตามที่นางเสนอ เมื่อเหล่าเศาะหาบะฮฺเห็นดังนั้นจึงรีบทำตามท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม กันอย่างถ้วนหน้า (อิบนุล ก็อยยิม. ซาดุล มะอาด )
4.        อุ มมู ซุลัยมฺ
อุมมู ซุลัยมฺ เป็นภรรยาของอบู ฏ็อลหะฮฺ เป็นมารดาของท่านอะนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุม
อะนัส เคยเล่าถึงแม่ของท่านว่า ลูกคนหนึ่งของอุมมู ซุลัยมฺ ป่วยหนัก เมื่ออบู ฏ็อลหะฮฺ ออกไปยังมัสยิดเด็กน้อยก็เสียชีวิต นางจึงจัดแจงศพของเขาให้เรียบร้อยและสั่งว่าอย่าเพิ่งบอกแก่อบู ฏ็อลหะฮฺ เมื่ออบู ฏ็อลหะฮฺกลับมา นางก็จัดอาหารค่ำให้และทั้งสองร่วมหลับนอนจนกระทั่งเมื่อถึงช่วงท้ายของคืน นางก็พูดกับอบู ฏ็อลหะฮฺว่า “ท่านเห็นอย่างไรกับครอบครัวหนึ่ง ที่ยืมของจากคนอื่นมา และเมื่อเจ้าของมาทางของคืนพวกเขากลับไม่ยอมให้มันแก่เขา และรู้สึกลำบากที่จะคืนให้” อบู ฏ็อลหะฮฺ ตอบว่า “แสดงว่าพวกเขาไม่มีสำนึก” นางจึงกล่าวต่อว่า “แท้จริงลูกของท่านก็ เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺให้ท่านยืมมา แล้วพระองค์ก็ได้มาเอาคืนไปแล้ว” เมื่อนั้นอบู ฏ็อลหะฮฺ จึงได้กล่าว อินนาลิลลาฮฺ วะอินนา อิลัยฮิ รอญิอูน และสรรเสริญอัลลอฮฺ จนเมื่อถึงรุ่งเช้า อบู ฏ็อลหะฮฺ ได้ไปพบกับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ไม่ทันที่จะพูดอะไร ท่านรอซูล ก็กล่าวว่า ((ขออัลลอฮฺทรงประทานความประเสริฐให้กับคืนของพวกเจ้าทั้งสอง)) (อัล-บุคอรีย์และมุสลิม ดู อัซ-ซะฮะบีย์. 2:310)
5.        อัส มาอ์ บินติ อบู บักรฺ
อัสมาอ์ บินติ อบู บักรฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา เป็นผู้ที่คอยนำอาหารและน้ำให้ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม และบิดาของนาง เมื่อครั้งที่ทั้งสองอพยพจากมักกะฮฺและพักอยู่ในถ้ำหิรออฺ นางได้เล่าให้ฟังว่า “ฉันได้เตรียมสำรับให้ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ในบ้านของพ่อเมื่อครั้งที่ท่านต้องการอพยพ แต่ฉันไม่มีเชือกที่จะใช้ผูกถุงสำรับอาหารและที่ใส่น้ำดื่ม ฉันกล่าวกับพ่อว่า ฉันไม่มีอะไรนอกจากผ้าคาดเอวของฉันเท่านั้น ท่านจึงสั่งให้ฉันฉีกผ้าออกเป็นสองสายและใช้ผูกถุงสำรับอาหารกับน้ำดื่ม” ตั้งแต่นั้นมานางจึงได้ชื่อว่า ซาตุน นิฏอก็อยนฺ หมายถึง หญิงผู้มีผ้าคาดเอวสองสาย และอบู ญะฮัล ได้มาหานางที่บ้านเพื่อซักถามว่าพ่อของนางไปไหน นางเล่าว่า “ฉัน ตอบว่า ฉันไม่รู้ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน เมื่อนั้นอบู ญะฮัลจึงยกมือขึ้นตบหน้าฉันจนกระทั่งต่างหูอันหนึ่งหลุดไป” (อัซ-ซะฮะบีย์. 2:289-290)
อัสมาอ์ ได้แต่งงานกับ ซุเบร อิบนุ อัล-เอาวาม นางเล่าว่า “ซุเบรได้แต่งงานกับฉัน เขาไม่มีสมบัติอะไรนอกจากม้าที่ฉันคอยดูแลและหาอาหารให้ ฉันจะคอยหาเมล็ดอินทผาลัมมาทุบให้มันกิน ฉันจะขนเมล็ดพวกนั้นจากสวนของซุเบรที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม แบ่งให้เขาซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเดินทูนเมล็ดอินผาลัมบนหัว ท่านได้รอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ขี่อูฐมาพร้อมกับเศาะหาบะฮฺหลายคน ท่านได้เข้ามาใกล้ฉันและสั่งให้อูฐนั่งลงเพื่อให้ฉันขึ้นไปขี่ข้างหลัง แต่ฉันอายและนึกถึงความหึงหวงของซุเบรจึงไม่ได้ขึ้นไปขี่ ท่านรอซูลจึงจากไป เมื่อถึงบ้านฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้ซุเบรฟัง เขาได้กล่าวว่า “แท้ จริง ที่เธอทูนเมล็ดพวกนั้นบนหัวย่อมหนักใจแก่ฉันมากกว่าที่เธอขึ้นไปขี่หลังอูฐ กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะซัลลัม” จนกระทั่งเมื่ออบู บักรฺ ได้ส่งคนใช้มาให้ฉัน ฉันจึงไม่ต้องคอยดูแลม้าอีก และรู้สึกเหมือนเป็นทาสที่ถูกปลดปล่อย” (อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม ดู อัซ-ซะฮะบีย์. 2:291)
ในสมัยการปกครองของอับดุลมาลิก อิบนุ มัรฺวาน บุตรคนหนึ่งของนางคืออับดุลลอฮฺ อิบนุ ซุเบร ไม่ยอมขึ้นต่ออับดุลมาลิก โดยได้แยกตัวมาปกครองมักกะฮฺ อับดุลมาลิกจึงใช้แม่ทัพของตนยกทัพมาตีมักกะฮฺ ในฐานะที่เป็นแม่ อัสมาอ์ ผู้มีความเด็ดเดี่ยวได้ปลูกฝังจิตสำนึกในตัวลูกของนางด้วยการสั่งเสียว่า “ลูก จงมีชีวิตอยู่ด้วยเกียรติ จงตายไปด้วยเกียรติ และจงอย่ายอมให้ใครมาจับเป็นเชลย” “เจ้าอย่าเชียวที่จะยอมรับ ข้อเสนอที่เจ้าไม่เห็นด้วย เพียงเพราะเจ้ากลัวตาย” (อัซ-ซะฮะบีย์. 2:293)
บทเรียน
                เรื่องราวต่างๆ ที่ยกมาเป็นตัวอย่างของเหล่าสตรีศอลิหะฮฺที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทในการเป็น เสาหลัก ทั้งในด้านการเป็นพลังทางใจที่สำคัญ เป็นผู้มอบความสุขในชีวิตให้แก่สามี เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ปรนนิบัติ ผู้ร่วมอุดมการณ์ที่ยืนหยัดและเด็ดเดี่ยว คอยช่วยเหลือ เข้าใจและรับภาระในหน้าที่ของตนอย่างมั่นคง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น วัลลอฮฺ อะอฺลัม