วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การศึกษาอิสลาม

การศึกษาอิสลาม ISlAMIC EDUCATION التربية الإسلامية

                    การศึกษาอิสลามหรือการศึกษาในอิสลาม มีความเกี่ยวข้องกับมุสลิมทุกคน ไม่ได้เจาะจงเฉพาะครูหรือผู้ที่จะเป็นครูเท่านั้นที่จะต้องเข้าใจและเรียน รู้เกี่ยวกับการศึกษา ครูหรืออาจารย์อาจเกี่ยวข้องในฐานะผู้ใช้กระบวนการนำสารอิสลามสู่ผู้เรียน ส่วนบุคคลอื่นนั้นเกี่ยวข้องในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ที่รับสารนั้น
ทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ และทุกยุคทุกสมัย มนุษย์จะต้องมีแนวการศึกษาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง อาจจะคล้ายคลึงกันบ้างระหว่างชนชาติ หรืออาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นขึ้นอยู่กับปราชญาการดำเนินชีวิตของชน ชาตินั้นๆ
            เป้าหมายหลักของการศึกษาคือ การสร้างคนในตอบสนองความต้องการของชาติหรือผู้ปกครอง
            การศึกษาของคนในยุคกรีกโรมัน คือ การสร้างคนให้มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง มีความสามารถในการต่อสู้และการใช้อาวุธ ส่วนการศึกษาอิสลาม การเน้นในมนุษย์ดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ถูกต้อง ปลอดภัย ตามที่ได้กำหนดมา คือ มีมารยาทในการอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำร้ายกันและกัน ไม่ทำลายล้างธรรมชาติที่ให้คุณประโยชน์อย่างมหันต์แก่มวลมนุษย์ หมั่นทำศาสนกิจอยู่เป็นนิจ ไม่เคยลืมผู้ทรงสร้างโดยนึกถึงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา
            ก่อนจะพูดถึงการศึกษาอิสลาม ปรัชญา วิธีการและขั้นตอนของระบบการศึกษาตามแนวนี้จะเป็นอย่างไรนั้น เราจำเป็นต้องย้อนอดีตตั้งแต่พระเจ้าสมัยได้ประทานศาสนาอิสลามมาแก่มวล มนุษย์ใหม่ๆ
            อิสลาม เราถือว่าเป็นศาสนาหนึ่งของมวลมนุษย์ และศาสนาในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะเป็นสิ่งเชื่อถือและยึดมั่นทางจิตใจเท่านั้น แต่ศาสนาคือวิถีชีวิต และวิถีชีวิตที่ใช้อัลกุรอานเป็นธรรมนูญ และยึดแนวทางนบีมุฮำมัด(ศ็อลฯ)เป็นแบบอย่างในทุกด้าน นั่นคือ ศาสนา อิสลาม ดังนั้นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคน จะต้องยึดอัลกุรอานและแนวทางตามที่นบี(ศ็อลฯ)ได้สอนไว้เป็นหลัก จะเบี่ยงเบน ไขว้เขว ลดหย่อน หรือเสริมแต่งไม่ได้
 
            ชาวอาหรับก่อนที่อิสลามจะถูกนำมาเผยแพร่ พวกเขาอยู่ในโลกมืด พวกเขาอาจจะเจริญก้าวหน้าทางด้านการค้า แต่จิตใจของพวกเขาและสังคมของพวกเขาเน่าเฟะหาความงดงามทางจริยธรรมไม่ได้ ดังที่อัลลอฮฺได้เปรียบเปรยในอัลกุรอานว่า
أَوْ كَظُلُمَاتٍ فِي بَحْرٍ لُّجِّيٍّ يَغْشَاهُ مَوْجٌ مِّن فَوْقِهِ مَوْجٌ مِّن فَوْقِهِ سَحَابٌ ظُلُمَاتٌ بَعْضُهَا فَوْقَ بَعْضٍ
إِذَا أَخْرَجَ يَدَهُ لَمْ يَكَدْ يَرَاهَا وَمَن لَّمْ يَجْعَلِ اللَّهُ لَهُ نُوراً فَمَا لَهُ مِن نُّورٍ سورة النور : 40
             ความว่า : หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้อง ทะเลลึก มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขาและเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้น แล้วชั้นเล่า เมื่อเขาเอามือของเขาออกมาเขาแทบจะมองไม่เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย (อัลกุรอาน สูเราะห์ อัน- นูร 24/40)
            ชาวอาหรับดั้งเดิมนั้นมีศาสนา และนับถือศาสนาตามบรรพบุรุษที่สืบทอดตั้งแต่สมัยนบีอิบรอฮีม(อะลัยฮิสสาลาม) แต่ด้วยเวลาที่ยาวนาน ด้วยความเป็นอัตตาของมนุษย์ สนใจแต่ความรู้สึกและความต้องการของตนเอง ทำให้ศาสนาที่นำมาโดยนบีอิบรอฮีม ถูกบิดเบือนและเสริมแต่งรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนในที่สุดหลงเหลือกิจกรรมหลักๆเท่านั้นที่พอจะรับรู้ว่าพวกเขาเคยนับถือ ศาสนามาก่อน เช่น การทำฮัจญ์ แต่การทำฮัจญ์ของพวกเขาต้องเปลือยกาย ระหว่างเดินรอบๆ กะอฺบะฮฺ พวกเขาจะเปลือยกายทั้งชายและหญิง โดยถือว่าตัวตนของมนุษย์ที่ไม่มีสิ่งเสริมแต่งรอบนอกเป็นสิ่ง บริสุทธิ์ เวลากระทำกิจกรรมทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิไม่ควรคลุกเคล้าหรือปะปนกับสิ่ง สกปรก
            ความเน่าเฟะของสังคมของพวกเขาที่พอจะยกเป็นตัวอย่างในที่นี้ เช่น
            - เสริมแต่งศาสนา(ที่เรียกว่า บิดอะห์) เช่น ปั้นรูปปั้นแล้วบูชากันเอง วางไว้รอบกะอฺบะห์ เป็นร้อยๆ รูป โดยใช้รูปปั้นเป็นสัญลักษณ์แทนพระเจ้ามีอำนาจให้และไม่ให้อะไรแก่ใครก็ได้

            -  ฝังลูกสาวเป็นๆ โดยพวกเขามีความเชื่อว่า การมีลูกสาวนั้นจะอัปโชค ที่เป็นที่น่าอับอายขายหน้าแก่เพื่อนฝูงในสังคม ครั้งหนึ่งท่าน อุมัร อิบนุ คอฏฏ็อบ(รอฎิฯ) อยู่ๆท่านก็หัวเราะและอยู่ๆท่านก็ร้องไห้ สหายของท่านถามว่า ท่านหัวเราะและร้องไห้ทำไม ท่านตอบว่า ที่หัวเราะเพราะเคยปั้นรูปไว้บูชากับลูกอินทผาลัม แต่พอหน้าแล้งไม่มีอะไรกินก็กินพระเจ้าที่ปั้นขึ้น และที่ท่านร้องไห้ เพราะท่านเคยฝังลูกสาวทั้งเป็น
              - มีการฆ่าฟันกันระหว่างเผ่าพันธุ์ ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นระหว่างหมู่บ้าน เพียงแค่สาเหตุวัวหรือสัตว์เลี้ยงของแต่ละเผ่ากินหญ้าข้ามเผ่ากัน (คง คล้ายๆกับเด็กนักเรียนอาชีวะ เพียงแค่มองหน้า หรือมีเครื่องหมายที่ต่างกันก็แทงกัน ยิงกันตาย)
              - ผิดลูกผิดเมีย โสเภณีมีท้วมเมือง หญิงหนึ่งคนหลายสามี หญิงบางคนเวลาคลอดลูกออกมา ถ้าชอบชายคนไหนก็บอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของชายคนนั้น (คงไม่ ต่างกับสมัยนี้ที่มีหญิงชอบชายใดแล้วก็ออกข่าวว่าลูกในท้องเป็นลูกของชายคน นั้น เพียงแต่กรรมวิธีสมัยใหม่สามารถที่จะตรวจพิสูจน์ดีเอนเอบอกพ่อแม่ที่แท้จริง ของเด็กได้)
               - ดื่มเหล้าต่างน้ำ และการดื่มเหล้านี้มีมาจนถึงสมัยที่นบีได้อพยพไปมะดีนะห์แล้ว และในที่สุดเพราะศาสนาพวกเขาจึงเทเหล้าทิ้ง ถนนทุกสายในนครมะดีนะห์เจิงหนองไปด้วยน้ำเหล้า
                - การพนัน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางอย่างที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมเน่าเฟะของคนอาหรับในยุคมืด หรือ ยุคญาฮีลียะห์(ยุคไร้การศึกษา แต่ในทางศาสนาแล้วหมายถึงยุคนอกศาสนา)นี้ คล้ายๆ กับพฤติกรรมของคนมนุษย์เสรีนิยมในยุคสมัยปัจจุบัน
           แม้สังคมอาหรับในยุคนั้นจะเน่าเฟะเพียงใด แต่ด้วยอิสลาม การศึกษาที่นำโดยนบีมุฮำหมัด สามารถจะเปลี่ยนกลุ่มคนเหล่าให้เป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษา(อิสลาม)เป็นผู้นำ และพวกเขาก็ได้แผ่อิสลามสู่มาติภูมิต่างๆ ในระยะเวลาอันสั้น
             การสอนของนบีมูฮำหมัด ท่านใช้ทฤษฎีอะไร มีการหยิบหรือนำเอาปราชญากรีกโรมันมาบ้างหรือไม่ ท่านมี โรงเรียนไหมสำหรับสอนบรรดาสหายของท่าน หรือ ดารุลอัรกอมที่ท่านใช้สอนบรรดาสหายในยุคแรกๆ นั้นคือ โรงเรียน ขั้นตอนและวิธีการสอนต่างๆ มีว่าอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกับวิธีการสอนที่คนสมัยใหม่ไปเอาของตะวันตกอย่างไร
             หลักการสอนหรือวิธีการสอนที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคน ดื่มสุรา กับที่ใช้ในสมัยนบีมุฮำหมัด วิธีการใดที่ได้ผลและสมควรนำไปเป็นแบบอย่างมากที่สุด
              ประมาณปี ค.ศ.1929 สหรัฐ อเมริกาได้พยายามทุกวิธีทางให้ประชาชนของเขาเลิกการดื่มเล่า ใช้ทั้งวิทยุ หนังสือพิมพ์ สื่อภาพยนตร์ เพื่อโฆษนาถึงอันตรายของการดื่มเหล้า โดยได้สิ้นเปลืองงบประมาณในการนี้มากมาย และตลอดระยะเวลา 14 ที่ รณรงค์ในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ได้จำคุกคนทำผิดเนื่องจากดื่มเหล้ามากกว่าครึ่งล้านคน และได้ประหารชีวิตมากถึง 532,325 คน แต่ในที่สุดทางรัฐบาลสหรัฐก็ต้องยกเลิกกฎหมายในห้ามเหล้าปี 1933 และ อนุญาตให้ดื่มเหล้าอย่างเสรี
             ในยุคแรกของอิสลาม อิสลามไม่ได้ห้ามการดื่มเหล้า และคนอาหรับในสมัยนั้นคงไม่ต่างกับคนสหรัฐในการเป็นคนขี้เหล้า ดื่มเหล้าต่างน้ำ จนบางครั้งไปทำศาสนากิจไม่รู้ว่าได้อ่านอะไรไปบ้าง จนอัลลอฮฺได้ประทานอัลกุรอานห้ามดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด และมุสลิมก็ได้เทเหล้าทิ้งและเลิกดื่มเหล้าอย่างสิ้นเชิงจนถึงทุกวันนี้.
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น