วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กำเนิดสบู่

 
ในสมัยโบราณถึงแม้ว่า ส่วนผสมของสบู่จะเป็นที่รู้จักกันบ้างแล้วและใช้กันอย่างแพร่หลายในเมโสโปเต เมีย แต่ก็ยังไม่มีการนำเอามาทำสบู่ มีบ้างก็เอาส่วนผสมเหล่านี้ไปทำผงซักฟอก

   ต่อมาพลีนี (Pliny หรือ Gaius หรือ Caius Plinius Secundus, ค.ศ.23-79, ถูกขนานนามว่า "พลีนีผู้อาวุโส" เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน) ได้เขียนบันทึกเรื่องชนิดของสบู่อ่อนของชาวกอล (ชาวยุโรปโบราณอาศัยแถบเหนือของอิตาลี,ฝรั่งเศส,เบลเยี่ยม) แต่นักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่าเป็น น้ำมันใส่ผมที่ทำมาจากไขมัน เมื่อผสมกับด่างแล้วไม่สามารถเป็นสบู่ได้

   ในโลกยุคกลางได้มีการทำสบู่ในแถบทางตอนเหนือของยุโรป โดยใช้ถ่านจากไม้ผสมกับไขมันสัตว์และน้ำมันปลา เป็นสบู่เหลวที่มีกลิ่นเหม็น พวกเขาใช้สำหรับทำความสะอาดเสื้อผ้าและก็ไม่ได้ใช้ทำความสะอาดร่างกายกัน อย่างแพร่หลาย และโดยปกติชาวยุโรปก็มิได้ใช้สบู่ในการทำความสะอาดร่างกายเลย และไม่มีการปรับปรุงสูตรการทำสบู่อีกจนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 18

   ซีเรียเป็นแหล่งทำสบู่ก้อนที่มีชื่อเสียง ซึ่งใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกาย นักโบราณคดีได้ขุดพบหลักฐานการทำสบู่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 8 ส่วนนักภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่ 10 ได้รายงานว่าเมือง 'นาบลุส' ในปาเลสไตน์ เป็นแหล่งส่งออกสบู่ที่โด่งดังมากของสมัยกลาง

   สบู่ยังคงถูกผลิตขึ้นในดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่ตกอยู่ภายใต้การปกครอง ของจักรวรรดิมุสลิม รวมทั้งอัล-อันดาลุส (สเปนภายใต้การปกครองของมุสลิม) ที่ซึ่งน้ำมันมะกอกหาได้ง่ายดายมาก ในช่วงปี 1200 ที่เมืองเฟซประเทศโมร็อคโค ซึ่งเป็นแหล่งที่ผลิตสบู่ถึง 27 ราย ในศตวรรษที่ 13 ยุโรปนำเข้าสบู่จากดินแดนมุสลิมในเมดิเตอร์เรเนียนและส่งข้ามเทือกเขาแอลป์ ไปยังยุโรปผ่านอิตาลี

   ที่ยุโรปสมัยกลาง ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการทำสบู่เลย ที่เก่าแก่ที่สุดก็เป็นงานเขียนในปี 1547 ชื่อ the Secret of Master Alexis of Piedmint

   ในงานเขียนของอาหรับเราพบสูตรสั้นๆ ในผลงานด้านเคมีของอัล-ราซี นักวิทยาศาสตร์มุสลิมผู้ยิ่งใหญ่ที่โลกตะวันตกรู้จักในนาม 'ราเซส' ส่วนสูตรที่ละเอียดจริงๆ เป็นของ อัีล-อันตากี (Da'ud al-Antaki เสียชีวิตในปี 1599) แพทย์ชาวซีเรียในสมัยศตวรรษที่ 17



หมาย เหตุ : ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการทำสบู่ของโลกมุสลิมยุคกลาง

   สบู่ที่แท้จริงแบบที่เราใช้กันในทุกวันนี้ถูกคิดค้นโดยชาวมุสลิมในยุค รุ่งโรจน์ของศิลปวิทยาการมุสลิมในสมัยกลาง พวกเขาใช้น้ำมันพืช (เช่น น้ำมันมะกอก) ผสมกับน้ำหอม (เช่นน้ำมัน Thyme) และ Lye (Al-Soda al-Kawia สารละลายน้ำของโซเดียมไฮดรอกไซด์) สูตรที่ใช้ทำสบู่ในตอนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลย และเหมือนกับสูตรที่ใช้ทำสบู่ที่เราใช้ทำความสะอาดร่างกายในทุกวันนี้ทุก ประการ

   ช่วงศตวรรษที่ 7 เมืองหลักที่ผลิตสบู่ได้แก่ นาบลุส (ปาเลสไตน์) , คูฟา (อิรัก) , และบาสรา (อิรัก) สบู่ที่เรารู้จักในทุกวันนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากสบู่อาหรับ (Arabian Soaps) เป็นสบู่มีกลิ่นหอมและมีสีสันสวยงาม บ้างก็เป็นแท่งแข็ง บ้างก็เป็นสบู่เหลว

   ในปี ค.ศ.981 สบู่ขายกันในท้องตลาดราคาก้อนละ 3 ดิรฮัม (เท่ากับ 0.3 ดีนาร์) และอัล-ราซีเป็นคนแรกที่บันทึกรายละเอียดการทำสบู่ไว้

   สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มุสลิมคิดค้นทำสบู่ น่าจะเป็นเพราะอิสลามสอนว่า 'ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา' และกฎของศาสนาบังคับให้มุสลิมต้องทำความสะอาดร่างกาย 5 เวลาก่อนละหมาด

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟุตบอล


ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติการการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431 วิวัฒนาการ ด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้น กำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คน...ติดไวรัสคอมฯ


มีรายงานว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Reading กลายเป็นบุคคลแรกในโลกที่ติดไวรัสคอมพิวเตอร์...

ดร.มาร์ค แกสสัน จากวิทยาลัยวิศวกรรมระบบ กลายเป็นบุคคลแรกที่ติดไวรัสคอมพิวเตอร์โดยการปนเปื้อนจากชิพที่ปลูกถ่ายไว้ ที่มือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัยด้านการพัฒนามนุษย์และตรวจผลเสียจาก การปลูกถ่ายอุปกรณ์อิเลคทรอนิคลงไปในร่างกายของเรา

ผลที่ได้นี้มี ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปลูกถ่ายเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ลงไปในร่างกายของเรา เทคโนโลยีเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาทางการแพทย์ เช่น การปลูกถ่ายเครื่องกระตุ้นหัวใจ การปลูกถ่ายคอเคลีย (cochlear) รวมถึงเทคนิคการรักษาอื่น ๆ

ดร.แกสสัน กล่าวว่า ยิ่งเทคโนโลยีด้านการปลูกถ่ายอุปกรณ์เหล่านี้พัฒนาไปมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มากเท่านั้น

งานวิจัยของแกสสัน แสดงให้เห็นว่าเทคโลยีการปลูกถ่ายได้พัฒนาไปถึงขั้นที่อุปกรณ์เหล่านั้น สามารถติดต่อสื่อสาร เก็บข้อมูลและจัดการข้อมูลได้แล้ว จะว่าไปอาจเรียกได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ ซึ่งหมายความว่า มันสามรถติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์หลักที่เราใช้กัน อยู่ เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นมาจึงควรมีระบบป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์สำรองไว้ ในอนาคตหากมีการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านั้นก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น

ดร.แก สสันจะนำเสนอผลการศึกษานี้ในเดือนหน้าที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติด้านเทคโนโลยี และสังคมในออสเตรเลีย
สำหรับกรณีติดไวรัสคอมพิวเตอร์ของแกสสันที่เกิด ขึ้นในครั้งนี้เกิดจากชิพประเภท high-end Radio Frequency Identification (RFID) ที่ใช้ติดฉลากรักษาความปลอดภัยในร้านค้าป้องกันขโมยและใช้บอกได้ว่าสัตว์ เลี้ยงตัวไหนสูญหายไป

ชิพชนิดนี้ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับ โทรศัพท์มือถือของแกสสันและช่วยให้แกสสันไปทำงานได้อย่างปลอดภัย นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยสร้างประวัติและช่วยในการค้นหาแกสสันได้อีกด้วย แต่เมื่อชิพนี้ติดไวรัสทำให้ชิพไม่สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์หลักได้ หากชิพมีการเชื่อมต่อกับระบบอื่นก็จะทำให้ระบบนั้นติดไวรัสไปด้วย

แก สสันกล่าวว่า ชิพที่ถูกปลูกถ่ายลงในมือของตนก็เหมือนกับการปลูกถ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชนิดอื่น หลังจากปลูกถ่ายไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ทำให้เค้ารู้สึกว่า ชิพนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เค้าตื่นเต้นว่าตนเองกลายเป็นบุคคลแรกที่อุปกรณ์ ปลูกถ่ายติดไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นประสบการณ์อันเลวร้ายเพราะชิพและตัวของเค้ามีการสื่อสารถึงกันแต่ใน สถานการณ์นี้เค้าไม่สามารถควบคุมได้เลย
แกสสันเชื่อว่า อาจเป็นไปได้ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์ในอนาคตจะมีส่วนหนึ่งของร่างกายเป็น เครื่องกลหากเราต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพของตน จริง ๆ แล้วสังคมอาจเป็นตัวกดดันให้เราต้องปลูกถ่ายอุปกรณ์เหล่านี้ก็ได้ในอนาคต เหมือนกับว่ามันอาจกลายเป็นประเพณีที่ทุกคนต้องมี อย่างโทรศัพท์มือถือหรืออาจจะทำให้เราลำบากหากเราไม่มี อย่างไรก็ตามเราต้องตระหนักว่าอุปกรณ์เหล่านี้สามารถเกิดการขัดข้องได้ เช่นเดียวกัน...

ที่มา: University of Reading (2010, May 26). Could humans be infected by 'computer viruses?'. ScienceDaily. Retrieved October 6, 2008

อ้างอิง: http://www.sciencedaily.com/releases/2010/05/100526095830.htm

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พื้นที่ที่ต่ำที่สุดในโลก

บนพื้นดินที่เรา เดิน วิ่ง หรือขึ้นรถไปโน้นมานี้ ก็เป็นที่รู้ว่าระดับของพื้นดินในแต่ละแห่งไม่เท่ากัน สูงบ้าง ต่ำบ้าง และเราก็ทราบกันทุกคนแล้วที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ยอดดอยอินทนนท์             ยอด ดอยอินทนนท์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2565.3341 เมตร การที่จะรู้ว่าที่นั้นตำกว่าหรือสูงกว่านั้นจะต้องใช้เครื่องมือที่เพิ่งคิด ค้นพบได้ไม่กี่สิบปีนี้เอง ก่อนหน้านั้นถ้าจะรู้ว่าที่นั้นสูงกว่าหรือต่ำกว่าได้ก็โดยการคาดเดาด้วยสาย สา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านับพื้นที่ทั่วโลกแล้วยากมากที่จะบอกว่าตรงจุดไหนที่ตำ กว่าหรือสูงกว่ากัน

           สิ่งหนึ่งสิ่งใดถ้าจะบอกว่าตรงไหนสั้นกว่าหรือ ยาวกว่า หรือว่าตรงไหนต่ำกว่าหรือสูงกว่าต้องถามคนที่ประดิษฐ์สิ่งนั้นถึงจะถูกต้อง ที่สุด แน่นอนพื้นดินที่เราอาศัยอยู่ก็เช่นกัน การจะรู้ว่าตรงไหนสูงกว่าหรือต่ำกว่านั้นก็รู้จากผู้สร้างที่เป็นผู้บอกเอง 
           เมื่อพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว สถานที่ที่ต่ำที่สุดบนพื้นที่โลกพระเจ้าผู้สร้างโลกได้ทรงบอกแก่มวลมนุษย์ แล้วว่าตรงไหนต่ำที่สุด ดังที่พระองค์ทรงตรัสในอัลกุรอาน ในสูเราะฮฺ อัร-รูม อายัตที่ 1-4 ว่า
الم * غُلِبَتِ الرُّومُ * فِي أَدْنَى الْأَرْضِ وَهُمْ مِنْ بَعْدِ غَلَبِهِمْ سَيَغْلِبُونَ * فِي بِضْعِ سِنِينَ لِلَّهِ الْأَمْرُ مِنْ قَبْلُ وَمِنْ بَعْدُ وَيَوْمَئِذٍ يَفْرَحُ الْمُؤْمِنُونَ 
             ความ ว่า : (1) อะลิฟ ลาม มีม  (2) พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว (3) ในดินแดนอันใกล้นี้ แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะ (คือ หลังจากปราชัยต่อพวกเปอร์เชียแล้ว พวกโรมันก็จะได้รับชัยชนะ) (4)ใน เวลาไม่กี่ปีต่อมา พระบัญชาเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ทั้งก่อนและหลัง (ชัยชนะ) และวันนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ 
          อายัต นี้อัลลอฮฺได้บ่งบอกอย่างน้อยสองอย่างที่นับว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความ สามารถของมนุษย์ในสมัยนั้น โดยอัลลอฮฺบอกในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาคหน้า ชาวโรมัน อาณาจักรไบเซนไทน์ จะได้รับความพ่ายแพ้  และเมื่อ ข่าวการพ่ายแพ้ของพวกโรมันต่อพวกเปอร์เซีย พวกมุสลิมก็เศร้าเสียใจด้วย เพราะพวกโรมันเป็นกลุ่มที่นับถือพระเจ้าเหมือนกับมุสลิม แต่ชาวเปอร์เซียเป็นพวกบูชาไฟและเป็นกลุ่มที่พวกมุชริกินที่ปฏิเสธอิสลามใน มักกะฮฺต่างก็เยอะเย้ยมุสลิม
          กระนั่นก็ตามในอายัตต่อมา(อายัตที่ 3 และ 4) อัลลอฮฺ ก็ได้แจ้งว่าพวกโรมันจะได้รับชัยชนะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเมื่อนั่นมุสลิมก็จะได้รับความดีใจ  
          คำว่าไม่กี่ปีในอัลกุรอานใช้คำว่า بِضْعِ سِنِينَ ซึ่งคำว่า بِضْعِ   เป็นภาษา อาหรับที่มีความหมายว่าหลายปี และหลายที่นี้อยู่ในช่วง 3-9 ปี มีรายงานหนึ่งว่า ชาวมุชริกีนไปถามว่ากี่ปี บางคนตอบไปว่า 7 ปี เมื่อเวลาผ่านไป 7 ปีจริง พวกโรมันก็ยังไม่ได้รับชัยชนะ ก็ยี่งทำให้ชาวมุชริกีนยี่งเยาะเย้ยมุสลิมรวมไปถึงเยาะเย้ยความเป็นจริงของ อัลกุรอานด้วย และพวกเขา(ทุกคนที่ไม่เชื่ออัลกุรอาน)ต่างก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกโรมัน จะชนะเปอร์เซีย เพราะพวกโรมันในช่วงนั้นต่ำต้อยและยากจนมาก และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 9 ปี โรมันก็ได้รับชัยชนะจริงๆ (บางรายงานกล่าวว่าใช้เวลา 7 ปี) นี่เป็นหลักฐานที่แน่ชัดอย่างหนึ่งว่าอัลกุรอานนั้นไม่ใช่คำกล่าวลอยที่ยก ร่างขึ้นมาเอง หรือเป็นคำพูดของนบี แต่เป็นคำตรัสจากพระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแท้จริงๆ
          สถานที่เกิดสงครามระหว่างพวกโรมันกับพวกเปอร์เซียและได้รับชัยชนะ นั้น เป็นพื้นดินระหว่างจอร์แดนกับฟาเลสไตน์(อิสราเอล) อิบนุหะญัรฺ อัล-อัศกอลานี้ ได้กล่าวว่า ดินแดนที่เกิดสงครามนั้นคือช่วงระหว่าง อัซรออาตในจอร์แดนกับบัศรอในชาม 


แผนที่แสดงพื้นที่ระหว่างจอร์แดน และฟาเลไตน์(อิสราอีล)
ทะเลเดดซีอยู่ระหว่างทั้งสองประเทศ และเป็นพึ้นที่ที่ต่ำที่สุด

          ในอัลกุรอาน อัลลอฮฺใช้คำว่า أَدْنَى الْأَرْضِ

          คำว่า الْأَرْضِ หมายถึง  พื้น แผ่นดินหรือพื้นโลก
          คำว่าأَدْنَى  มีหลายความ หมาย     
            1. แปลว่า أقرب หมายถึงที่ ใกล้ที่สุด นั้นหมายถึงสงครามที่พวกโรมันแพ้พวกเปอร์เซียอยู่ในดินแดนที่ไม่ไกลจากมักกะ ฮฺและมะดีนะฮฺ และนักอรรถาธิบายอัลกุรอานส่วนใหญ่จะเขียนแปลความหมายในอายัตนี้ในความหมาย นี้ รวมทั้งหนังสือแปลความหมายอัลกุรอานที่เป็นภาษาไทยด้วย    
            2. แปลว่า أقل หมายถึง น้อยที่สุด     
            3. แปลว่า أخفض หรือ أهبط  หมาย ถึงที่ต่ำที่สุด
          จากการศึกษาด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ พื้นดินที่ตำที่สุด พบว่า
            ·         บนพื้นดิน ดินบริเวณพื้นที่ต่ำอัลฟัยยูมในประเทศอิยิปต์ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 45 เมตร
            ·         ก้นทะเลสาบ Death Valley ใน California ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 85 เมตร
            ·         พื้นที่ต่ำ ทางตอนเหนือของทะเลทรายในอิยิปต์ตะวันตก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 133 เมตร
            ·         ก้นทะเลสาบ Tiberias طبرية ทางตอนเหนือของอิสราเอล ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 209 เมตร
            ·         พื้นที่ ประเทศจอร์แดน  ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 212-400 เมตร
            ·         ผิวน้ำในทะเลเดดซี ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 402 เมตร
            ·         พื้นดินที่ ต่ำที่สุดบริเวณทะเดดซี ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 394เมตร
  
ป้ายแสดงสถานที่ต่ำที่สุดใน โลก ต่ำกว่า -416 เมตร จากระดับน้ำทะเล

         การวัดความลึกของบริเวณเดดซี(หรือที่อื่นๆ) จะสามารถทำได้โดยใช้เทคโนโลยีในสมัยใหม่เท่านั้น ก่อนหน้านี้ เป็นไ ปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดสามารถล่วงรู้ว่า ที่แห่งใดเป็นดินแดนที่ต่ำที่สุดบนพื้นโลก แต่ดินแดนดังกล่าวได้ถูกกล่าวไว้แล้วในอัลกุรอานว่าเป็นดินแดนที่ต่ำที่สุด บนโลก และนี่ก็เป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งว่า อัลกุรอาน เป็นวจนะของอัลลอฮ์(ซ.บ.)พระ เจ้าผู้ทรงสร้าง อย่างแท้จริง