ในครั้งโบราณต่างชาติต่างก็ขึ้นปีใหม่กันตามความนิยมของตนที่เห็นว่าวันปีใหม่ควรจะเป็นวันไหน เช่น ต้นฤดูหนาวเพราะเป็นเวลาพ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า เป็นต้น, ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่าง ร้อนเหมือนเวลากลางวันเป็นกลางปี ฤดูฝนที่เป็นเวลามืดครึ้มโดยมากและฝนพร่ำเพรื่อเที่ยวไปไหนไม่ได้เป็นเหมือนกลางคืน ชาวเยอรมันสมัยโบราณแบ่งฤดู 2 ฤดู คือฤดูหนาวกับฤดูร้อน ขึ้นปีใหม่ราวปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเวลาที่พื้นภูมิภาคกำลังเริ่มเย็นขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนซึ่งแยกย้ายกันไปหากินในที่ต่างๆ ตั้งแต่ในฤดูร้อนได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่ทำได้และนำขึ้นยุ้งฉางเสร็จแล้ว ก็มาร่วมชุมนุมกันฉลองขึ้นใหม่ เมื่อชาวโรมันได้รุกรานเข้าไปในอาณาเขตเยอรมัน จึงได้เลื่อนการฉลองปีใหม่มาเป็น 1 มกราคม
ชาวไอยคุปค์ เฟนิเซียนและอิหร่านเริ่มปีใหม่เมื่อกลางฤดูสารทคือราววันที่ 21 กันยายน โยนกสมัยก่อนพุทธกาลขึ้นไป เริ่มปีใหม่ราววันที่ 21 ธันวาคม โรมันโบราณก็เริ่มปีใหม่วันที่ 21 ธันวาคม สมัยซีซาร์เมื่อใช้ปฏิทินที่เรียกว่าแบบยูเลียนได้เลื่อนปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 มกราคม พวกยิวขึ้นปีใหม่เป็น 2 อย่าง ตามทางการเริ่มปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนติษรีราววันที่ 6 กันยายน ถึงวันที่ 5 ตุลาคม ทางศาสนาเริ่มราววันที่ 21 มีนาคม ตอนต้นยุคกลางชาวคริสเตียนเริ่มปีใหม่ วันที่ 25 มีนาคม อังกฤษเชื้อสายแองโกลซักซอนเริ่มปีใหม่วันที่ 25 ธันวาคม ภายหลังให้เลื่อนวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม ต่อมาก็กลับเลื่อนไปขึ้นปีใหม่ราว 2242-2296 [1]
โปรดสังเกตว่า ในอดีตทุกๆ ดินแดน ทุกๆ เผ่าพันธุ์ต่างมีเทศกาลเป็นของตนเอง หรือมีประเพณีของเผ่าพันธุ์ของตนเองอยู่เสมอ แม้กระทั่งวันรื่นเริง วันซึ่งถูกอุบัติขึ้นเพื่อการเฉลิมฉลอง หรือเพื่อแสดงความสนุกสนานนั้น ทุกๆ เผ่าพันธุ์ ทุกๆ ดินแดนต่างก็มีวันรื่นเริงเป็นของตนเองทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าวัน และรูปแบบการเฉลิมฉลองก็จะแตกต่างกันไป สรุปคือ ทุกๆ ชาติ ทุกๆ เผ่าพันธุ์ต่างก็มีวันเฉลิมฉลอง หรือวันรื่นเริงแทบทั้งสิ้น ดังที่ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า
«إن لكل قوم عيدا»
ความว่า “แท้จริงทุกๆ กลุ่มชนนั้นมีวันรื่นเริงทั้งสิ้น” (บันทึกโดยมุสลิม 1479)
อนึ่ง หากย้อนถามวันรื่นเริง หรือวันเฉลิมฉลองของอิสลามนั้นมีหรือไม่? คำตอบคือมี ดังหลักฐานจากท่านอนัส บุตรของมาลิกเล่าว่า
«كان لأهل الجاهلية يومان في كل سنة يلعبون فيهما فلما قدم النبي صلى الله عليه وسلم المدينة قال كان لكم يومان يلعبون فيهما وقد أبدلكم الله فيهما خيرا منهما يوم الفطر ويوم الأضحى»
ความว่า “ปรากฏว่ากลุ่มชนญาฮิลียะฮฺ (กลุ่มชนที่อิสลามยังไม่อุบัติขึ้นแก่พวกเขา) สำหรับพวกเขามีอยู่สองวันในทุกๆ ปีซึ่งเป็นวันที่พวกเขารื่นเริงสนุกสนานในสองวันดังกล่าว, ครั้นเมื่อท่านรสูลุลลอฮฺ เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านรสูล ก็กล่าวว่า สำหรับพวกท่านมีวันรื่นเริงสนุกสนานอยู่สองวัน ทว่าพระองค์อัลลอฮฺทรงเปลี่ยนให้ดีกว่าวันทั้งสองดังกล่าว นั่นคือวันอีดิลฟิฏริ และวันอีดิลอัฎหา” (บันทึกโดยนะสาอีย์ หะดีษที่ 1538)
ฉะนั้นหะดีษข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้จะมีวันรื่นเริงวันใด หรือกี่วันก็ตามนั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือภายหลังที่อิสลามได้ถูกอุบัติขึ้น อิสลามได้ทดแทนวันที่อนุญาตให้บรรดามุสลิมสนุกสนานรื่นเริงได้เพียงแค่สองวันเท่านั้น นั่นคือ วันอีดิลฟิฏริ และวันอีดิลอัฎหา
ครั้นเมื่อหลักการของศาสนาอนุมัติให้มุสลิมฉลอง หรือรื่นเริงได้เพียงสองวันในรอบปีเท่านั้น บรรดามุสลิมจะแสวงหาวันรื่นเริง หรือวันฉลองอื่นจากวันอีดิลฟิฏริ (عيد الفطر) หรืออีดิลอัฎหา (อ่านว่า อัด-ฮา عيد الأضحى ) ไม่ได้ เพราะเมื่อท่านรสูล ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่ามุสลิมมีวันรื่นเริงเพียง 2 วันเท่านั้น มุสลิมที่ศรัทธามั่นคงก็ต้องปฏิบัติคำสั่งของท่านรสูลุลลอฮฺ อย่างเคร่งครัด
อีกทั้งท่านรสูลุลลอฮฺยังกำชับให้ออกห่างจากการเลียนแบบแนวคิด,วิถีชีวิต และพฤติกรรมของพวกยะฮูดีย์ และพวกนัศรอนีย์อีกด้วย ดั่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า
«ولا تشبهوا باليهود ولا بالنصارى»
ความว่า "พวกท่านอย่าเลียนแบบพวกยะฮูดีย์ (พวกยิว) และพวกนัศรอนีย์ (พวกคริสเตียน)" (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษที่ 8230)
หะดีษข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มุสลิมมีจุดยืนของมุสลิมโดยมีอุดมการณ์อันแน่วแน่ว่าไม่ยอมเลียนแบบพฤติกรรม, ประเพณี หรือวัฒนธรรมของประชาชาติอื่น โดยเฉพาะประชาชาติยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์โดยเด็ดขาด เพราะนั่นคือคำสั่งที่ท่านรสูลุลลอฮฺ ต้องการให้มุสลิมเป็นประชาชาติตัวอย่าง เป็นประชาชาติที่นำประชาชาติอื่น ไม่ใช่เป็นประชาชาติที่เลียนแบบประชาชาติอื่น หรือเป็นประชาชาติต่ำต้อยยอมเดินตามหลังประชาชาติอื่นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ลองกลับมาพิจารณาเถิดว่า การกำหนดวันปีใหม่ของสากล หรือปีใหม่ของโลกนั้นมาจากแหล่งไหน? ผลลัพธ์คือ มาจากพวกโรมัน และพวกอังกฤษ ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มของอะฮฺลุลกิตาบ หรือพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นบรรดามุสลิมยิ่งจะต้องออกห่างจากการเฉลิมฉลอง และจัดงานรื่นเริงปีใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย จึงเป็นไปไม่ได้ที่มุสลิมจะรณรงค์กันจัดงานปีใหม่ขึ้นในบ้าน หรือจัดในชุมชนมุสลิม เพราะนั่นเป็นวัฒนธรรมของพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์ ดังที่ท่านรสูลุลลอฮฺ สั่งห้ามมิให้มุสลิมเลียนแบบกลุ่มชนทั้งสองข้างต้น แม้นว่ามุสลิมคนใดจัดงานปีใหม่ขึ้น นั่นก็หมายรวมว่า ความเป็นประชาชาติตัวอย่างได้เหือดหายไปจากจิตสำนึกของมุสลิมทีละน้อยทีละน้อยจนในที่สุดก็หามีจิตสำนึกแห่งการเป็นประชาชาติตัวอย่างไม่
ใช่แต่เท่านั้น ท่านรสูลุลลอฮฺ มิได้สั่งห้ามบรรดามุสลิมเที่ยวงาน หรือจัดงานเฉลิมฉลองเยี่ยงการจัดงานของประชาชาติอื่นเท่านั้น แต่บริเวณใด หรือสถานที่ใดที่อดีตเคยจัดงานเฉลิมฉลองของกลุ่มชนที่มีความเชื่อ หรือศาสนาอื่นจากอิสลาม ท่านรสูลุลลอฮฺ ก็ยังสั่งห้ามมิให้มุสลิมเข้าไปร่วมกิจกรรมยังบริเวณ หรือสถานที่แห่งนั้นอีกต่างหาก ท่านษาบิต บุตรของเฎาะฮากเล่าว่า “ ชายผู้หนึ่งบนบาน (นะซัร) ว่าจะเชือดอูฐหนึ่งตัว ณ บริเวณ (ที่เรียกว่า) บุวานะฮ, ท่านรสูลุลลอฮจึงถามเขาว่า ณ สถานที่แห่งนั้นเคยมีรูปเจว็ดหนึ่งจากบรรดารูปเจว็ดที่เคยถูกเคารพภักดีในสมัยญาฮิลียะฮ์ (หมายถึงสมัยก่อนที่ท่านรสูล ถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี) หรือไม่ ? บรรดาเศาะหาบะฮ์ตอบว่า ไม่เคยมีการกระเช่นนั้นครับ, ท่านรสูลถามต่ออีกว่า สถานที่แห่งนั้นเคยมีการจัดงานวันรื่นเริงของพวกเขาหรือไม่ ? บรรดาเศาะหาบะฮ์ก็ตอบว่า ไม่เคยมีการกระทำกัน, ท่านรสูล จึงกล่าวขึ้นว่า เช่นนั้นท่านจงทำให้สิ่งที่ท่านบนบานให้ครบถ้วนสมบูรณ์เถิด แท้จริงไม่มีการทำบนบานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ในเรื่องของการฝ่าฝืนพระองค์อัลลอฮ์ “ (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษ 2881)
หะดีษข้างต้นทำให้มุสลิมต้องพิจารณาถึงท่าทีของตนเองให้มากๆ เพราะมุสลิมบางคนยังคงไปเที่ยวงานส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ โดยไปร่วมงานนับถอยหลังเพื่อเข้าวันที่ 1 มกราคม โดยต้องการมีส่วนร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่กับประชาชาติอื่นอย่างสนุกสนาน แต่ท่านรสูลุลลอฮฺ กลับระบุว่า สถานที่ซึ่งเคยถูกทำให้เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริงนั้นมุสลิมก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้นนั่นเอง พึงทราบเถิดว่า อะไรที่มิใช่วิถีชีวิตของมุสลิม วาญิบ (จำเป็น) สำหรับมุสลิมจะต้องออกห่างจากวิถีชีวิตเยี่ยงนั้น
อนึ่ง อาจมีบางท่านอ้างว่า จริงอยู่ถึงแม้ว่าไม่อนุญาตให้บรรดามุสลิมเฉลิมฉลองในวันที่ 1 มกราคมซึ่งเป็นวันปีใหม่สากลก็ตาม แต่มุสลิมสามารถเฉลิมฉลองปีใหม่อิสลามได้ นั่นคือให้รื่นเริงและฉลองกันในวันที่ 1 มุหัรฺร็อมของทุกๆ ปี ซึ่งเป็นวันปีใหม่อิสลาม โดยอ้างหลักฐานจากข้อมูลที่ว่า
“วันที่ 1 เดือนมุฮัรรัม เป็นวันแรกของการเริ่มศักราชใหม่ ตามประวัติศาสตร์ถือเป็นวันที่ท่านศาสดามูฮัมมัดลี้ภัยจากนครมักกะฮ์ไปสู่นครมะดีนะฮ์ เมื่อวันนี้ได้เวียนมาบรรจบ มุสลิมจึงรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เพื่อมิให้การรำลึกภาพเหตุการณ์สำคัญในวันนั้นเป็นการสูญเปล่าก็ประกอบกิจกรรมกุศล เช่น การอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน การเอ่ยคำสดุดีสรรเสริญองค์ศาสดา ตลอดจนขอพรมาปฏิบัติเสริมอันเป็นสิริมงคล” [2]
ข้อมูลข้างต้นที่อ้างมานั้นถือว่าเป็นการอ้างอิงที่ไม่ใช่หลักวิชาการ แต่เป็นการอ้างอิงด้วยการวินิจฉัยเอาเองว่าการทำพิธีกรรมในวันที่ 1 มุหัรฺร็อม เป็นสิ่งที่ดี อีกทั้งยังเป็นการรำลึกภาพเหตุการณ์สำคัญในวันนั้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวถือว่าเป็นการอุตริกรรมขึ้นใหม่ในศาสนา (บิดอะฮฺ) หากว่าแนวคิดข้างต้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วไซร้ ท่านนบีมุหัมมัด จะต้องกระทำเป็นบุคคลแรกแล้วนั่นเอง หรือไม่บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ต้องมีร่วมกันรำลึกวันที่ 1 มุหัรฺร็อมของทุกๆ ปี เนื่องจากเป็นวันปีใหม่อิสลาม แต่ทว่าสิ่งข้างต้นไม่มีแบบฉบับจากท่านรสูล หรือไม่มีการปฏิบัติของบรรดาเศาะหาบะฮฺแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นสิ่งข้างต้นจึงเป็นเรื่องเหลวไหล และเป็นเรื่องที่อุตริกรรมขึ้นใหม่ในศาสนา (บิดอะฮฺ) นั่นเอง, ใช่แต่เท่านั้น การกำหนดเดือนมุหัรฺร็อมเป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลามนั้นกลับมิได้ถูกกำหนดจากท่านนบีมุหัมมัด เลยแม้แต่น้อย แต่ถูกดำริขึ้นในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ ตามที่มีรายละเอีดยดังนี้
การนับวันและเดือนในอิสลามกำหนดให้ใช้ระบบจันทรคติเป็นหลัก แต่อาหรับในยุคก่อนยังไม่มีการกำหนดวิธีนับปี มีแต่เพียงเล่าขานต่อๆกันมาด้วยเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้น เช่น กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด เกิดในปีช้าง
ในปีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญคือ อับเราะหะฮฺ เจ้าเมืองยะมันยกกองทัพช้างมุ่งตรงมายังมักกะฮฺหมายจะทำลายอัลกะอฺบะฮฺ แต่อัลลอฮฺได้ทรงพิทักษ์รักษาบ้านของพระองค์โดยทรงบันดาลให้ฝูงนกอะบาบีลคาบก้อนหินมาถล่มใส่กองทัพช้างของอับเราะหะฮฺจนย่อยยับไป
ต่อมาหลังจากท่านนบีมุฮัมมัด สิ้นชีวิตไป แผ่นดินอิสลามได้แผ่ขยายออกไปกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคการปกครองของท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัร ซึ่งสืบทอดการปกครองอาณาจักรอิสลามเป็นเคาะลีฟะฮฺคนที่ 2 ต่อจากท่านเคาะลีฟะฮฺอบูบักร์ ท่านอุมัรได้จัดระบบการบริหารราชการแผ่นดิน การเงิน การคลัง ให้เป็นระเบียบ มีการทำสำมะโนประชากร มีการทำบันทึกรายได้รายจ่ายของรัฐอย่างเป็นระบบ จึงพบปัญหาว่าไม่สามารถระบุวันที่ได้แน่นอน เกิดความสับสนในการบันทึกเอกสารต่างๆ บางทีเดือนเดียวกันแต่ไม่ทราบว่าเป็นปีใด
ท่านอุมัรได้ปรึกษาหารือกับบรรดาสาวกของท่านนบีที่ร่วมบริหารงานอยู่ก็มีมติให้ ปรับปรุงการกำหนดปีกันใหม่ บางคนเสนอให้ใช้ศักราชโรมัน บางคนเสนอให้ใช้ศักราชเปอร์เชีย บ้างก็เสนอให้ใช้วันเกิดของท่านนบีเป็นศักราชอิสลามบ้าง ให้ใช้วันที่ท่านนบีได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี บ้าง หรือให้ใช้วันเสียชีวิตของท่านเป็นจุดเริ่มต้นนับศักราชอิสลามบ้าง แต่ท่านอุมัรไม่เห็นด้วยที่จะรับวิธีคิดตามอย่างพวกที่พยายามหาทางทำลายล้างและเป็นปฏิปักษ์กับอิสลามมาใช้ และไม่เห็นด้วยที่จะเอาวันเกิดวันตายของท่านนบี มากำหนดศักราชอิสลามเลียนแบบศาสนาอื่น
ในที่สุด ท่านอะลี หนึ่งในคณะที่ปรึกษา (ซึ่งต่อมาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺคนที่ 4) ได้เสนอให้ เอาการอพยพ (ฮิญจ์เราะฮฺ) ของท่านนบีจากมักกะฮฺไปสู่มะดีนะฮฺเป็นจุดเริ่มต้นนับศักราชใหม่ของอิสลาม เนื่องจากเป็นนิมิตหมายถึงความสำเร็จในการสถาปนารัฐอิสลามของท่านนบี และยิ่งกว่านั้นการอพยพครั้งนั้นยังเป็นการจำแนกความจริงจากความเท็จและความหลงผิด ได้อย่างชัดเจน
ท่านอุมัรเห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอนี้ การปรึกษาหารือเรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปีที่ 17-18 หลังจากการหิญเราะฮฺ จึงมีมติให้เริ่มนับศักราชอิสลามตั้งแต่ปีที่ท่านนบีอพยพ เรียกว่า หิญเราะฮฺศักราช
พิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวอาหรับที่มีมาแต่โบราณคือพิธีหัจญ์ ซึ่งจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาร่วมพิธีที่นครมักกะฮฺ และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีหัจญ์ก็พอดีย่างเข้าเดือนมุหัรรอม จะเป็นจุดเริ่มต้นการค้าขายและธุรกิจต่างๆ ชาวอาหรับจึงนับเดือนมุหัรรอมนี้เป็นเดือนแรกของปี ศักราชอิสลามก็ยังคงนับเดือนมุหัรรอมเป็นเดือนแรก มิใช่เริ่มนับ ณ วันที่ท่านนบีอพยพ (ท่านนบีอพยพในเดือนเราะบีอุลเอาวัลซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ของปี) แต่เริ่มนับวันที่ 1 มุหัรรอม ของปีที่ท่านนบี อพยพ เป็นวันเริ่มต้นฮิจญ์เราะฮฺศักราช ตำราบางเล่มกล่าวว่าวันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.632 (ตามปฏิทิน Julian Calendar) เนื่องจากการกำหนดศักราชอิสลามนี้เกิดขึ้นหลังจากท่านนบีสิ้นชีวิตไปแล้วถึง 17-18 ปี วันปีใหม่ของหิญเราะฮฺศักราชจึงไม่ถือเป็นวันสำคัญทางศาสนา และไม่ปรากฏว่ามุสลิมในยุคแรกๆเฉลิมฉลองวันปีใหม่นี้ แต่พวกเขายึดมั่นในวันสำคัญ 2 วัน คือ อีดิลฟิฏริ และ อีดิลอัฎฮา ที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานให้เพื่อล้มล้างและยกเลิกวันสำคัญหรือพิธีกรรมเก่าๆที่เคยยึดถือปฏิบัติกันมาในยุคก่อนเข้ารับอิสลาม และจากการพิจารณาถึงวิธีกำหนดศักราชอิสลาม จะเห็นว่าท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัรพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการเลียนแบบวิธีคิดและประเพณีปฏิบัติตามลัทธิศาสนาอื่น[3]
สรุปว่าสาเหตุที่ศาสนาไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมงาน หรือจัดงานปีใหม่มีดังนี้
1. สิ่งข้างต้นเป็นการอุตริกรรมขึ้นใหม่ซึ่งไม่ปรากฏจากบทบัญญัติที่อนุญาตให้เฉลิมฉลองในวันดังกล่าว
2. สิ่งข้างต้นนั้นมาจากพวกยะฮูดีย์ และนัศรอนีย์ ซึ่งมีบทบัญญัติศาสนาให้ออกห่างการเลียนแบบตามทั้งสองกลุ่มนั้นอย่างสิ้นเชิง
3. มุสลิมถูกสั่งสอนให้ตามแนวทางจากอัลกุรฺอานและสุนนะฮฺของท่านนบีมุหัมมัด หน้าที่ของบรรดามุสลิมจึงต้องปฏิบัติตามแนวทางของอิสลามอย่างเคร่งครัด เมื่อเป็นเช่นนั้นศาสนาระบุไว้อย่าชัดเจนว่า ศาสนาเปิดโอกาสให้บรรดามุสลิมสนุกสนานรื่นเริง และเฉลิมฉลองในรอบปีได้มีเพียงสองวัน อันได้แก่ วันอีดิลฟิฏริ และอีดิลอัฎหาเท่านั้น, ส่วนการเฉลิมฉลองในวันปีใหม่ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตของมุสลิมเลยแม้แต่น้อย หน้าที่ของมุสลิมจึงจะต้องออกห่างจากการเฉลิมฉลองในวันดังกล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย
4. การที่มุสลิมหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่สนุกสนานรื่นเริงนั้น จะทำให้หัวใจของมุสลิมหมกมุ่น และสาละวนอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ค้านกับทางนำแห่งสัจธรรมจากพระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระองค์อัลลอฮฺทรงเมตตาชี้ทางนำให้แก่ผู้ที่หลงผิดด้วยเถิด
การให้ของขวัญ และบัตรอวยพรในวันปีใหม่
บัตรอวยพรคริสต์มาสพิมพ์ครั้งแรกโดยบริษัทลอนดอนจำกัด ทำออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 1843 ต่อมามีบริษัทอื่นๆ พิมพ์ออกมาและจำหน่ายอย่างกว้างขวาง เป็นที่นิยมกันอย่างมากมายจนพิมพ์แทบไม่พอขาย ปัจจุบันการส่งบัตรอวยพรคริสต์มาสและปีใหม่กลายเป็นธรรมเนียมถือปฏิบัติกันทั่วโลก โดยส่งคำอวยพรถึงกันและกันในครอบครัว และระหว่างเพื่อนฝูงมิตรสหาย เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงความระลึกถึงกันได้เป็นอย่างดีในโอกาสฉลองเทศกาลอันสำคัญนี้ ซึ่งเป็นวาระแห่งความปีติยินดี
จุดประสงค์ของการส่งบัตรอวยพรนั้น เพื่อแสดงความสุข ความยินดีในวันคริสต์มาส และส่งความปรารถนาดีรำลึกถึงกันและกันด้วยใจจริง ถ้าหากขาดเป้าหมายเหล่านี้แล้ว บัตรอวยพรราคงแพงที่สวยหรู และถ้อยคำอวยพรที่ไพเราะเพราะพริ้งจะไร้ความหมายทันที [4]
ธรรมเนียมที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่คริสต์ศาสนิกชนนิยมทำกันมากที่สุดคือ การส่งบัตรอวยพร (Greeting Card) ไปยังญาติสนิทมิตรสหาย โดยบรรจุข้อความที่สำคัญและประทับใจเช่น Merry Christmas อวยพรขอให้ผู้รับมีความสุข สดชื่น และสมปรารถนาด้วยอำนาจแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า [5]
สรุปที่มาของบัตรอวยพรปีใหม่
การส่งบัตรอวยพรในวันปีใหม่ ถือว่าเป็นธรรมเนียมที่นิยมปฏิบัติกันสำหรับคริสต์ศาสนิกชน
ประเด็นชี้แจง
ศาสนาอิสลามอนุญาตให้มอบของขวัญ หรือแม้แต่การเขียนบัตรอวยพรให้แก่มุสลิมด้วยกันได้ เพราะนั่นถือว่าเป็นเรื่องของสังคม แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่กำหนดวันเจาะจงที่จะมอบให้อย่างตายตัว มุสลิมสามารถมอบของขวัญ หรือบัตรอวยพรได้ตลอดเวลา แต่ถ้ามุสลิมคนใดเจาะจงมอบให้เฉพาะวันคริสต์มาส หรือวันปีใหม่ เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นกำลังเลียนแบบกลุ่มอื่นแล้ว ดั่งเช่นที่ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า
« من تشبه بقوم فهو منهم»
ความว่า “บุคคลใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใดเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้น” (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 3512)
ดังนั้น เมื่อศาสนาไม่อนุญาตในรื่นเริง และเฉลิมฉลองในวันปีใหม่ หรือเทศกาลปีใหม่ เช่นนี้มุสลิมก็ต้องหลีกเลี่ยงโดยไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมใดในเทศกาลดังกล่าว ไม่ว่าจะมีส่วนร่วมให้นำสิ่งของต่างๆ ที่บ่งบอกว่าเราได้มีส่วนร่วมในวันนั้น ไม่ว่าจะในเรื่องของการกิน การดื่ม เสื้อผ้า ของขวัญ หรืออย่างอื่นๆ อีก เป็นหน้าที่เหนือมุสลิมทุกคนที่จะต้องภาคภูมิใจในศาสนาของตนเอง และเขาจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับทุก ๆ เทศกาลที่ไม่ใช่อิสลาม
เราขอให้พระองค์อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งทรงโปรดปกป้องพี่น้องมุสลิมจากการทดสอบทั้งหลาย ไม่ว่าในที่ลับและที่แจ้ง และขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองและประทานทางนำ หรือแนวทางแห่งสัจธรรมให้กับพวกเราด้วยเถิด อามีน (ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงรับคำวิงวอนนี้ด้วยเถิด).
[1] หนังสือ “วันสำคัญ” หน้า 192-193 เขียนโดยบุญเติม แสงดิษฐ
[2] หนังสือ “คู่มือข้าราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” หน้า 56
[3] ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.muslimthai.com ซึ่งทางเว็บไซต์มิได้ระบุบุคคลที่เขียน หรือแหล่งที่มา
[4] พิษนณุ อรรมภิญญ์, “ความเป็นมาของวันคริสต์มาส” หน้า 29-30
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น